ผมเพิ่งกลับมาจากการ "ดูงาน" ที่อังกฤษ เวลส์ และสก็อตแลนด์ ด้วยความเอื้อเฟื้อของหน่วยงานราชการไทยซึ่งผมขอไม่เอ่ยนาม
เป็นการ “ดูงาน” สไตล์ราชการไทย ซึ่งหมายความว่าสิ่งที่ดู (และทำ) ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่เจริญตาเจริญใจกว่างาน แต่ก็เป็นการเดินทางที่พอได้อะไรๆ น่าสนใจมาเล่าสู่แฟนๆ ฟอไฟฯ กันฟัง
เวลาส่วนใหญ่ของเราไม่ได้หมดไปกับการท่องเที่ยวหรือช็อปปิ้ง แต่หมดไปกับการนั่งรถบัส
ทันทีที่เราหลุดพ้นออกจากสนามบิน Heathrow เราก็ขึ้นไปนั่งจุ้มปุ๊กบนรถบัส ถ้าเป็นการเดินทางปกติ รถบัสคันนั้นก็คงจะพาเราไปโรงแรม จะได้อาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าแปรงฟัน หลังจากที่เดินทางมาตลอดคืน
แต่เราตระหนักว่าการเดินทางครั้งนี้มาจากเงินภาษีอากรประชาชน ดังนั้นไม่ควรเสียเวลาไปกับการอาบน้ำแปรงฟันเปลี่ยนเสื้อผ้า เรามาถึงอังกฤษแล้ว ต้องตักตวงความรู้ให้เต็มที่โดยไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
เราจึงนั่งรถบัสไปดู Stonehenge กองหินโบราณอันเลื่องชื่อของโลก ซึ่งเราต้องดูจากระยะห่างๆ ไม่สามารถเข้าไปพินิจพิจารณาใกล้ๆ ว่าเป็นโฟมหรือเปล่า
แม้จะค่อนข้างผิดหวังกับ Stonehenge เพราะมันเหมือนที่เราเคยเห็นในรูปเป๊ะ (แถมจะเล็กกว่าที่คิดด้วยซ้ำ) แต่ด้วยความตระหนักในหน้าที่ เราก็นั่งรถบัสต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ โดยมีเป้าหมายต่อไปคือ Bath
เปล่าครับ เรายังจะไม่ได้อาบน้ำ แต่เราจะไปเมืองที่ชื่อ Bath เพื่อแวะรับประทานอาหารกลางวัน เป็นเมืองเล็กๆ ที่เก่าแก่และมีเสน่ห์ตามสไตล์เมืองเล็กอังกฤษ สมกับที่เป็นเมืองตากอากาศและท่องเที่ยวตั้งแต่ยุคโบราณกาล
เป้าหมายแรกของเราที่เมืองนี้คือ three-course meal = อาหารสามอย่าง (ฝรั่งจะไม่ลงอาหารทุกอย่างพร้อมๆ กันเหมือนอาหารไทยนะครับ แต่จะเสิร์ฟทีละอย่าง คือทีละ course) สไตล์อังกฤษที่โรงแรม Royal เริ่มด้วยสลัดกุ้ง ตามด้วยไก่อบเป็น main course และตบท้ายด้วย chocolate mousse (ผู้เรียงพิมพ์โปรดอย่าตกตัว s นะครับ mousse ออกเสียงว่า มู่ส เป็นของหวาน ไม่ใช่ mouse ออกเสียงว่า เม่าส ที่แปลว่า หนู)
ก็นับว่าเป็นอาหารอังกฤษมื้อที่อร่อยที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ เพราะหลังจากนี้ไปมันจะตกต่ำลงเรื่อยๆ ราวกับว่าตั้งใจพิสูจน์ว่าอาหารอังกฤษเป็นอาหารที่ไม่อร่อยที่สุดติดอันดับของโลกตามที่ร่ำลือกัน จนกระทั่งถึงจุดต่ำสุดกับเนื้อย่างที่แข็งที่สุดในโลก (โปรดอดใจติดตามอ่านว่าผมได้ปลุกปล้ำต่อสู้กับเนื้อย่างมหัศจรรย์นี้ที่ร้านอะไร เมืองอะไร)
จุดเด่นของเมือง Bath ไม่ได้อยู่ที่อาหาร แต่อยู่ที่โรงอาบน้ำแร่ร้อนจากสมัยโรมัน ซึ่งมีเอกสารแจกนักท่องเที่ยวเป็นภาษาไทยด้วย แสดงว่าคงมีคนไทยไปดูงานที่นั่นเยอะ
ข้างหน้าโรงอาบก็มีนักดนตรีมาสร้างบรรยากาศเพลิดเพลินสนุกสนานให้กับนักท่องเที่ยว เช่นมือ vibraphone ที่ผมถ่ายรูปมาให้ดูนี่แหละครับ
พอเดินเข้าไปในโรงอาบก็จะพบว่ามันดูใหม่กว่าที่คิด ถามเจ้าหน้าที่เขาก็บอกว่าส่วนนี้สร้างเมื่อสักร้อยปีนี่เอง แต่ถ้าเดินลงไปข้างล่างก็จะเป็นของโบราณล้วนๆ
สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเกี่ยวกับอังกฤษในการเดินทางครั้งนี้ คือการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในทุกด้าน (ครั้งสุดท้ายที่ผมไปอังกฤษคือเมื่อเกือบสิบปีแล้วเห็นจะได้)
โรงอาบน้ำโรมันนี้ก็เป็นตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยีทำให้นักท่องเที่ยวได้รับความรู้และสะดวกสบาย แถมลดปัญหาการบริหารจัดการ เช่นการจัดหามัคคุเทศก์ให้พอสำหรับนักท่องเที่ยว
เทคโนโลยีที่ผมเห็นว่าน่าสนใจเป็นพิเศษในการนี้คือการใช้ audio wand
ถ้าคุณเคยอ่าน Harry Potter ก็จะทราบว่า wand หมายถึง ไม้เท้ากายสิทธิ์ แต่ความจริงมันอาจหมายถึงเครื่องมือที่รูปร่างยาวๆ แบบนั้นได้เหมือนกัน
Audio wand หน้าตาคล้ายๆ โทรศัพท์มือถือยาวๆ ใช้แนบหูฟังอย่างเดียว (แต่ไม่มีภาษาไทย) เดินไปแต่ละจุดของพิพิธภัณฑ์ก็จะมีป้ายเขียนหมายเลขติดฝาผนัง ถ้าอยากฟังเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ให้กดหมายเลขนี้ใน audio wand แล้วก็จะมีเสียงบรรยายว่าสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้คืออะไร มีความเป็นมาอย่างไร ฯลฯ พอเดินออกจากบริเวณพิพิธภัณฑ์ก็ต้องเอาไปวางคืน ถ้าคุณลืมคืนมันก็จะส่งเสียงดังลั่น เจ้าหน้าที่ก็จะวิ่งมาเก็บมันไปจากคุณ
ข้อดีของ audio wand นี้ นอกจากจะสะดวกแล้ว ยังทำให้นักท่องเที่ยวสามารถฟังซ้ำได้ ข้อมูลก็ถูกต้อง ลุ่มลึก ได้มาตรฐาน ไม่มั่วเหมือนมัคคุเทศก์บางคน
No comments:
Post a Comment