Sunday, January 05, 2014
Monday, December 16, 2013
จากมุมมองของผู้ชุมนุม
ผมเชื่อเสมอมาว่าคนไทยไม่ว่าจะสีไหน สนับสนุนหรือต่อต้านรัฐบาล ถ้าเรารู้จักเขาเป็นการส่วนตัวแล้ว จะพบว่าเขาจิตใจดี น่าคบหาสมาคมไม่น้อยกว่าเพื่อนๆ ที่เราคบอยู่แล้ว
ผมจึงเชื่อว่าไม่มีอะไรแก้ไขไม่ได้หากเรานั่งคุยกัน ด้วยความเคารพในความเป็นมนุษย์ของกันและกัน ให้เกียรติกัน เมตตากัน สุภาพอ่อนโยนต่อกัน
ไม่จำเป็นที่เราจะต้องด่าทอกันด้วยคำหยาบคายราวกับว่าฝ่ายที่มีความเห็นไม่ตรงกับเราไม่ใช่มนุษย์ที่มีจิตใจความรู้สึก
ทุกคนมีเหตุผล ทุกคนเป็นคนดีในสายตาตัวเอง แต่มุมมองของแต่ละคนย่อมต่างกันไป ถ้าเราอยากให้เขาเข้าใจเรา เราก็ต้องพยายามเข้าใจเขาด้วย
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมเขียนคอลัมน์ซึ่งกล่าวถึงการยึดสนามบินโดยกลุ่มเสื้อเหลือง และการล้มการประชุมอาเซียนของกลุ่มเสื้อแดง แต่เขียนผิดว่าการ "ยึด" สนามบินเกิดขึ้นเมื่อ 8 ปีที่แล้ว (ความจริงเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2008) ก็มีคุณ "พธม.หน้าจอ" กรุณาเขียนจดหมายมาแก้ข้อผิดพลาดของผม และยังนำเสนอมุมมองของผู้ชุมนุมฝ่ายพันธมิตรฯ ในการเข้าไป "ยึด" สนามบินด้วย
ผมเห็นว่าน่าสนใจดีจึงขอนำเสนอมาให้คุณผู้อ่านท่านอื่นๆ ได้อ่านด้วยที่นี่
Saturday, December 14, 2013
ใครชั่วใครดี?
คุณ "เก่งกาจ" เขียนอีเมลมาคุยด้วย ซึ่งผมคิดว่าน่าสนใจ แต่ไม่เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ จึงขอนำลงในบลอกนี้ พร้อมกับสอดแทรกความเห็นของผมไปด้วยโดยเขียนเป็นตัวเอน
สวัสดีครับ คุณบ๊อบ
ได้อ่านคอลัมน์เรื่อง hate speech ขอบคุณนะครับที่ช่วยเตือนสติคนไทย เห็นคุณบ๊อบพูดถึงแกนนำ แต่จริง ๆ แล้วผมคิดว่า hate speech ไม่เกี่ยวกับแกนนำเท่าไหร่หรอกครับ คนทั่วไปก็ใช้กันประจำ ไม่รู้ว่าคุณบ๊อบได้อ่านข้อมูลในอินเตอร์เน็ตที่พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการเมืองไทยมากแค่ไหน hate speech ใช้กันมานานแล้วโดยเฉพาะจากฝั่งประชาธิปัตย์และคนที่ไม่ได้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยครับ ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายไหนนะครับ แต่เท่าที่ผมสังเกตคำหยาบคายส่วนมากจะมาจากฝั่งประชาธิปัติย์ ทั้ง 2 ฝั่งก็มีคนใช้คำหยาบคายแต่จากฝั่งที่ต่อต้านพรรคเพื่อไทยจะเยอะกว่ามาก
เรื่องแมลงสาบคิดว่าคุณบ๊อบหมายถึงพรรคประชาธิปัตย์ เท่าที่ผมทราบคำนี้มาจากพรรคประชาธิปัตย์เองนะครับ ในที่ประชุมพรรคเมื่อปี 45 มีนักวิชาการแนะนำพรรคประชาธิปัตย์ให้ใช้ทฤษฎีแมลงสาบ และตอนหลังคุณกรณ์ก็ไปเปรียบเทียบพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นพรรคแมลงสาบ ตรงนี้ต้องดูดี ๆ ครับ เท่าที่ผมสังเกตหลายคนที่พูดถึงพรรคแมลงสาบไม่ได้พูดในเชิงดูหมิ่นเกลียดชังแต่เหมือนเป็นชื่อเล่นที่ทุกคนเข้าใจตรงกันมากกว่า และโดยส่วนมากเวลาพูดถึงแมลงสาบจะหมายถึงพรรคในลักษณะที่เป็นนามธรรม ไม่ได้หมายความว่าต้องการดูถูกคนที่พูดถึงว่าเป็นแมลงสาบนะครับ ที่คุณบ๊อบไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่นผมคิดว่าไม่เหมือนกันครับ
ครับ คุณเก่งกาจพูดถูก แต่ในบริบทของรวันดา การใช้คำว่า "แมลงสาบ" เป็นการเรียกคนเผ่า Tutsi ไม่ใช่ใช้เรียกพรรคการเมือง ทำให้เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นแมลงที่น่ารังเกียจ กระทืบให้ตายได้ก็ดี
สถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบัน ตามความเห็นส่วนตัวผมคิดว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย ระหว่างความดีกับความชั่ว อันนี้พูดในภาพรวมนะครับ ทั้ง 2 ฝ่ายก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดี และคนที่ไม่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้เป็นเผด็จการทุกคน ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่ไม่ใช่
ผมไม่คิดว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่วหรอกครับ เพราะถ้าคิดอย่างนั้นก็หมายความว่าจะต้องสู้กันให้ตายกันไปข้างหนึ่ง ผมมีเพื่อนทั้งสองฝ่าย และทุกคนก็เป็นคนนิสัยดี จิตใจดี แต่ความคิดเกี่ยวกับว่าอะไรเหมาะอะไรควรสำหรับประเทศชาติอาจจะแตกต่างกัน บางคนคิดว่าประชาธิปไตยไม่ดีเพราะเปิดโอกาสให้คนที่เก่งแต่โกงมาบริหารประเทศ บางคนก็คิดว่าประชาธิปไตยดี เพราะทำให้เขาได้ลืมตาอ้าปาก ได้มีสิทธิ์มีเสียง ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็หวังดีกับประเทศ เพียงแต่มีความเห็นไม่ตรงกันว่าอะไรดีสำหรับประเทศ ซึ่งว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้วเขาจะเน้นการแข่งขันกันทางนโยบาย ทางการเลือกตั้ง ไม่ใช่การออกมายึดพื้นที่สาธารณะหรือราชการ
แต่ตอนนี้คนส่วนน้อยที่ฝักใฝ่เผด็จการพยายามจะยึดอำนาจการปกครองจากคนส่วนใหญ่ที่สนับสนุนประชาธิปไตย ที่วันก่อนคุณบ๊อบเขียนคอลัมน์บอกว่าสนับสนุนที่ไปเดินขบวนเพราะเป็นการใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย ผมไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ ม็อบนี้จุดประสงค์ก็ค่อนข้างชัดเจนว่าต้องการล้มรัฐบาลโดยไม่ใช้กระบวนการทางประชาธิปไตย ผิดตั้งแต่วิธีคิดแล้ว ตอนแรกบอกว่าต่อต้าน พ.ร.บ. นิรโทษกรรม พอตกไปแล้วก็ไม่ยอมเลิก คงต้องการให้ศาลโลกตัดสินให้ไทยเสียดินแดน พอศาลตัดสินว่าไม่เสีย คุณศิริโชคก็พยายามทำลายชาติในสภาต่อโดยไปยอมรับเส้นของกัมพูชาจนโดนคุณวีรชัยด่าจนเสียผู้เสียคนไป ที่บอกว่าจะตั้งศาลประชาชนก็เข้าข่ายกบฏ ไม่ต้องการให้นายกฯ ลาออก ไม่ต้องการให้ยุบสภา ต้องการล้มรัฐบาลโดยไม่ใช้กระบวนการทางประชาธิปไตยก็เข้าข่ายกบฏ ตอนหลังจะตั้งสภาประชาชนก็เข้าข่ายกบฏอีก คุณสุเทพยังบอกอีกว่าจะเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นระบอบกษัตริย์โดยสมบูรณ์ ผมไม่เข้าใจว่าหมายถึงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์รึเปล่า แต่จะหมายถึงอะไรก็เข้าข่ายกบฏ ล่าสุดศาลก็ออกหมายจับคุณสุเทพข้อหากบฏแล้ว
เรื่องการฆ่ากันนั้นคุณบ๊อบก็น่าจะรู้ข่าวแล้ว ล่าสุดก็มีคนตายไป 4 คน 3 คนยังระบุแน่ไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่มีการอ้างว่า 1 คนเป็นนักศึกษารามคำแหง อีก 2 คนเป็นคนเสื้อแดง ส่วนอีก 1 คนที่พบโครงกระดูกในรถบัสคนเสื้อแดงที่โดนเผาจากที่ฟังข้อมูลน่าจะเป็นญาติคนเสื้อแดงที่มาชุมนุม
จากรายงานข่าวล่าสุด ปรากฏว่าคนที่ไฟคลอกตายในรถบัสเสื้อแดงเป็นหนึ่งในคนที่ขึ้นไปเผารถ แต่หนีออกจากรถไม่ทัน ก็น่าสลดใจครับ ทุกครั้งที่มีคนบาดเจ็บล้มตายเพราะเรื่องการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนหรือด้วยเหตุอะไร
เรื่องการทำร้ายร่างกาย คนเสื้อแดงก็โดนดักทำร้ายจนต้องยุติการชุมนุมไปแล้ว ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลมีทั้งบังคับให้ถอดเสื้อออก จุดไฟเผาเสื้อ กระทืบเสื้อ ใครนั่ง taxi มาก็โดยล้อมเตะถีบรถ กระโดดถีบ ใครนั่งรถเมล์ก็โดนปาขวด เอาด้ามธงกระทุ้ง ทิ่มแทงใส่ เรื่องความคิดเห็นบางคนก็ต้องการฆ่าคนที่สนับสนุนคุณทักษิณให้หมดประเทศ
อีกฝ่ายก็บอกว่าคนเสื้อแดงไปทำร้ายเขาก่อน ผมก็ไม่อยากฟันธงว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน เพราะเหตุการณ์ในคืนนั้นค่อนข้างจะสับสนวุ่นวาย ต่างฝ่ายต่างโบ้ยความผิดให้อีกฝ่าย แต่ประเด็นที่สำคัญคือทำไมเราถึงโกรธเกลียดกันได้ขนาดนี้โดยที่ไม่ได้รู้จักกันเลย ผมมั่นใจว่าถ้าจับคนทั้งสองฝ่ายเหล่านี้มานั่งกินข้าวคุยกัน ทำความรู้จักกันโดยห้ามคุยเรื่องการเมืองและไม่บอกว่าใครเป็นฝ่ายไหน เขาน่าจะเป็นเพื่อนกันได้
ผมคิดว่าการจะแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นคงต้องทำให้คนที่หลงผิดรู้จักผิดชอบชั่วดี ถ้าคุณบ๊อบมีโอกาสอยากให้สอดแทรกเรื่องศีลธรรมในคอลัมน์หน่อยครับ ขอบคุณครับ
ครับ ปัญหาของเราทุกวันนี้คือต่างฝ่ายต่างมีมาตรฐานต่างกันเกี่ยวกับเรื่องผิดชอบชั่วดี ซึ่งผมคิดว่าอย่างน้อยที่สุดควรรวมถึงการเคารพกฎหมายและสิทธิของผู้อื่น เช่นไม่ปิดล้อม/บุกรุกสถานที่ราชการ ยึดพื้นที่สาธารณะ สนามบิน หรือที่ประชุมระหว่างประเทศ ผมก็พยายามสอดแทรกในคอลัมน์เรื่อยๆ ครับ แต่คิดว่าอาจไม่มีคนอ่านมากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็อ่านผ่านๆ เอง ขอบคุณมากครับที่เขียนมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
สวัสดีครับ คุณบ๊อบ
ได้อ่านคอลัมน์เรื่อง hate speech ขอบคุณนะครับที่ช่วยเตือนสติคนไทย เห็นคุณบ๊อบพูดถึงแกนนำ แต่จริง ๆ แล้วผมคิดว่า hate speech ไม่เกี่ยวกับแกนนำเท่าไหร่หรอกครับ คนทั่วไปก็ใช้กันประจำ ไม่รู้ว่าคุณบ๊อบได้อ่านข้อมูลในอินเตอร์เน็ตที่พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการเมืองไทยมากแค่ไหน hate speech ใช้กันมานานแล้วโดยเฉพาะจากฝั่งประชาธิปัตย์และคนที่ไม่ได้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยครับ ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายไหนนะครับ แต่เท่าที่ผมสังเกตคำหยาบคายส่วนมากจะมาจากฝั่งประชาธิปัติย์ ทั้ง 2 ฝั่งก็มีคนใช้คำหยาบคายแต่จากฝั่งที่ต่อต้านพรรคเพื่อไทยจะเยอะกว่ามาก
เรื่องแมลงสาบคิดว่าคุณบ๊อบหมายถึงพรรคประชาธิปัตย์ เท่าที่ผมทราบคำนี้มาจากพรรคประชาธิปัตย์เองนะครับ ในที่ประชุมพรรคเมื่อปี 45 มีนักวิชาการแนะนำพรรคประชาธิปัตย์ให้ใช้ทฤษฎีแมลงสาบ และตอนหลังคุณกรณ์ก็ไปเปรียบเทียบพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นพรรคแมลงสาบ ตรงนี้ต้องดูดี ๆ ครับ เท่าที่ผมสังเกตหลายคนที่พูดถึงพรรคแมลงสาบไม่ได้พูดในเชิงดูหมิ่นเกลียดชังแต่เหมือนเป็นชื่อเล่นที่ทุกคนเข้าใจตรงกันมากกว่า และโดยส่วนมากเวลาพูดถึงแมลงสาบจะหมายถึงพรรคในลักษณะที่เป็นนามธรรม ไม่ได้หมายความว่าต้องการดูถูกคนที่พูดถึงว่าเป็นแมลงสาบนะครับ ที่คุณบ๊อบไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่นผมคิดว่าไม่เหมือนกันครับ
ครับ คุณเก่งกาจพูดถูก แต่ในบริบทของรวันดา การใช้คำว่า "แมลงสาบ" เป็นการเรียกคนเผ่า Tutsi ไม่ใช่ใช้เรียกพรรคการเมือง ทำให้เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นแมลงที่น่ารังเกียจ กระทืบให้ตายได้ก็ดี
สถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบัน ตามความเห็นส่วนตัวผมคิดว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย ระหว่างความดีกับความชั่ว อันนี้พูดในภาพรวมนะครับ ทั้ง 2 ฝ่ายก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดี และคนที่ไม่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้เป็นเผด็จการทุกคน ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่ไม่ใช่
ผมไม่คิดว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่วหรอกครับ เพราะถ้าคิดอย่างนั้นก็หมายความว่าจะต้องสู้กันให้ตายกันไปข้างหนึ่ง ผมมีเพื่อนทั้งสองฝ่าย และทุกคนก็เป็นคนนิสัยดี จิตใจดี แต่ความคิดเกี่ยวกับว่าอะไรเหมาะอะไรควรสำหรับประเทศชาติอาจจะแตกต่างกัน บางคนคิดว่าประชาธิปไตยไม่ดีเพราะเปิดโอกาสให้คนที่เก่งแต่โกงมาบริหารประเทศ บางคนก็คิดว่าประชาธิปไตยดี เพราะทำให้เขาได้ลืมตาอ้าปาก ได้มีสิทธิ์มีเสียง ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็หวังดีกับประเทศ เพียงแต่มีความเห็นไม่ตรงกันว่าอะไรดีสำหรับประเทศ ซึ่งว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้วเขาจะเน้นการแข่งขันกันทางนโยบาย ทางการเลือกตั้ง ไม่ใช่การออกมายึดพื้นที่สาธารณะหรือราชการ
แต่ตอนนี้คนส่วนน้อยที่ฝักใฝ่เผด็จการพยายามจะยึดอำนาจการปกครองจากคนส่วนใหญ่ที่สนับสนุนประชาธิปไตย ที่วันก่อนคุณบ๊อบเขียนคอลัมน์บอกว่าสนับสนุนที่ไปเดินขบวนเพราะเป็นการใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย ผมไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ ม็อบนี้จุดประสงค์ก็ค่อนข้างชัดเจนว่าต้องการล้มรัฐบาลโดยไม่ใช้กระบวนการทางประชาธิปไตย ผิดตั้งแต่วิธีคิดแล้ว ตอนแรกบอกว่าต่อต้าน พ.ร.บ. นิรโทษกรรม พอตกไปแล้วก็ไม่ยอมเลิก คงต้องการให้ศาลโลกตัดสินให้ไทยเสียดินแดน พอศาลตัดสินว่าไม่เสีย คุณศิริโชคก็พยายามทำลายชาติในสภาต่อโดยไปยอมรับเส้นของกัมพูชาจนโดนคุณวีรชัยด่าจนเสียผู้เสียคนไป ที่บอกว่าจะตั้งศาลประชาชนก็เข้าข่ายกบฏ ไม่ต้องการให้นายกฯ ลาออก ไม่ต้องการให้ยุบสภา ต้องการล้มรัฐบาลโดยไม่ใช้กระบวนการทางประชาธิปไตยก็เข้าข่ายกบฏ ตอนหลังจะตั้งสภาประชาชนก็เข้าข่ายกบฏอีก คุณสุเทพยังบอกอีกว่าจะเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นระบอบกษัตริย์โดยสมบูรณ์ ผมไม่เข้าใจว่าหมายถึงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์รึเปล่า แต่จะหมายถึงอะไรก็เข้าข่ายกบฏ ล่าสุดศาลก็ออกหมายจับคุณสุเทพข้อหากบฏแล้ว
เรื่องการฆ่ากันนั้นคุณบ๊อบก็น่าจะรู้ข่าวแล้ว ล่าสุดก็มีคนตายไป 4 คน 3 คนยังระบุแน่ไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่มีการอ้างว่า 1 คนเป็นนักศึกษารามคำแหง อีก 2 คนเป็นคนเสื้อแดง ส่วนอีก 1 คนที่พบโครงกระดูกในรถบัสคนเสื้อแดงที่โดนเผาจากที่ฟังข้อมูลน่าจะเป็นญาติคนเสื้อแดงที่มาชุมนุม
จากรายงานข่าวล่าสุด ปรากฏว่าคนที่ไฟคลอกตายในรถบัสเสื้อแดงเป็นหนึ่งในคนที่ขึ้นไปเผารถ แต่หนีออกจากรถไม่ทัน ก็น่าสลดใจครับ ทุกครั้งที่มีคนบาดเจ็บล้มตายเพราะเรื่องการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนหรือด้วยเหตุอะไร
เรื่องการทำร้ายร่างกาย คนเสื้อแดงก็โดนดักทำร้ายจนต้องยุติการชุมนุมไปแล้ว ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลมีทั้งบังคับให้ถอดเสื้อออก จุดไฟเผาเสื้อ กระทืบเสื้อ ใครนั่ง taxi มาก็โดยล้อมเตะถีบรถ กระโดดถีบ ใครนั่งรถเมล์ก็โดนปาขวด เอาด้ามธงกระทุ้ง ทิ่มแทงใส่ เรื่องความคิดเห็นบางคนก็ต้องการฆ่าคนที่สนับสนุนคุณทักษิณให้หมดประเทศ
อีกฝ่ายก็บอกว่าคนเสื้อแดงไปทำร้ายเขาก่อน ผมก็ไม่อยากฟันธงว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน เพราะเหตุการณ์ในคืนนั้นค่อนข้างจะสับสนวุ่นวาย ต่างฝ่ายต่างโบ้ยความผิดให้อีกฝ่าย แต่ประเด็นที่สำคัญคือทำไมเราถึงโกรธเกลียดกันได้ขนาดนี้โดยที่ไม่ได้รู้จักกันเลย ผมมั่นใจว่าถ้าจับคนทั้งสองฝ่ายเหล่านี้มานั่งกินข้าวคุยกัน ทำความรู้จักกันโดยห้ามคุยเรื่องการเมืองและไม่บอกว่าใครเป็นฝ่ายไหน เขาน่าจะเป็นเพื่อนกันได้
ผมคิดว่าการจะแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นคงต้องทำให้คนที่หลงผิดรู้จักผิดชอบชั่วดี ถ้าคุณบ๊อบมีโอกาสอยากให้สอดแทรกเรื่องศีลธรรมในคอลัมน์หน่อยครับ ขอบคุณครับ
ครับ ปัญหาของเราทุกวันนี้คือต่างฝ่ายต่างมีมาตรฐานต่างกันเกี่ยวกับเรื่องผิดชอบชั่วดี ซึ่งผมคิดว่าอย่างน้อยที่สุดควรรวมถึงการเคารพกฎหมายและสิทธิของผู้อื่น เช่นไม่ปิดล้อม/บุกรุกสถานที่ราชการ ยึดพื้นที่สาธารณะ สนามบิน หรือที่ประชุมระหว่างประเทศ ผมก็พยายามสอดแทรกในคอลัมน์เรื่อยๆ ครับ แต่คิดว่าอาจไม่มีคนอ่านมากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็อ่านผ่านๆ เอง ขอบคุณมากครับที่เขียนมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
Sunday, November 24, 2013
เผด็จการศาลรัฐธรรมนูญ?
คุณ "เก่งกาจ" เขียนอีเมลมาคุย ซึ่งผมคิดว่าน่าสนใจแต่ค่อนข้างยาวและเกี่ยวกับการเมืองไทย ผมจึงขอนำมาลงในบล็อกแทนที่จะลงในคอลัมน์ ส่วนคำตอบของผมในส่วนที่เกี่ยวข้องลงในคอลัมน์ตามปกติครับ
ถ้าคุณบ๊อบมีเวลาช่วยอธิบายเรื่องนี้หน่อยได้ไหมครับ เพราะมีคนที่เข้าใจผิดอยู่มาก ขอบคุณครับ
อยากทราบว่าคำว่าเผด็จการศาลรัฐธรรมนูญภาษาอังกฤษใช้คำว่าอะไรครับ ตอนนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินไปเรียบร้อยแล้ว โดยมีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญทั้ง ๆ ที่ตัวเองอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ กฎหมายให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ไม่ได้ให้อำนาจในการพิจารณาว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะต้องขัดอยู่แล้วไม่อย่างนั้นคงไม่เรียกว่าการแก้ไข ถ้าเพิ่มอำนาจให้ตัวเองอย่างนี้ก็เท่ากับว่าฝ่ายนิติบัญญัติจะไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เลยถ้าศาลรัฐธรรมนูญไม่อนุญาต
ช่วงนี้มีคนพูดถึงเผด็จการรัฐสภาบ่อย ๆ น่าจะเกิดจากความเข้าใจผิดและความไม่รู้ ตามความเข้าใจของผมเผด็จการหมายถึงการที่มีอำนาจสูงสุด ใช้อำนาจอย่างไรก็ได้โดยไม่ต้องสนใจกฎหมายและความเห็นของคนส่วนใหญ่ อย่างที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ทำมาและคงจะทำต่อไปเรื่อย ๆ
ตัวอย่างเช่น ถ้ามีกลุ่มคน 10 คน หัวหน้ากลุ่มต้องการดำเนินการบางอย่างแต่สมาชิกอีก 9 คน ไม่เห็นด้วย แต่หัวหน้ากลุ่มใช้อำนาจสั่งการให้ดำเนินการ บังคับให้ทุกคนต้องทำตามคำสั่งหรือยอมรับคำสั่ง อย่างนี้คือเผด็จการ แต่ถ้าในกลุ่มมีคน 7 คนเห็นด้วย แต่อีก 3 คนไม่เห็นด้วย แล้วตัดสินใจดำเนินการตามเสียงข้างมากอย่างนี้ไม่ใช่เผด็จการแต่อย่างใด เป็นหลักตัดสินใจโดยใช้เสียงส่วนใหญ่ ซึ่ง 3 คนที่ไม่เห็นด้วยก็ไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมหรือไม่ต้องยอมรับก็ได้ ไม่ได้บังคับ
สำหรับเผด็จการรัฐสภาจะเป็นเผด็จการก็ต่อเมื่อสมาชิกไม่ได้มาจากประชาชน เช่น ส.ว. แต่งตั้งก็เป็นส่วนหนึ่งของการที่จะทำให้เกิดเผด็จการรัฐสภาได้ แต่ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งมาจากประชนชนและใช้อำนาจแทนประชาชนอยู่แล้ว ผมไม่รู้ว่าจะเป็นเผด็จการได้อย่างไร บางคนไปเปรียบเทียบกับฮิตเลอร์ซึ่งก็แสดงให้เห็นถึงความไม่รู้และไม่เข้าใจ การที่ฮิตเลอร์มีอำนาจสูงสุดเพราะการผ่านกฎหมาย Enabling Act ทำให้ฮิตเลอร์มีอำนาจเหนือรัฐสภาช่วงนี้มีคนพูดถึงเผด็จการรัฐสภาบ่อย ๆ น่าจะเกิดจากความเข้าใจผิดและความไม่รู้ ตามความเข้าใจของผมเผด็จการหมายถึงการที่มีอำนาจสูงสุด ใช้อำนาจอย่างไรก็ได้โดยไม่ต้องสนใจกฎหมายและความเห็นของคนส่วนใหญ่ อย่างที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ทำมาและคงจะทำต่อไปเรื่อย ๆ
ตัวอย่างเช่น ถ้ามีกลุ่มคน 10 คน หัวหน้ากลุ่มต้องการดำเนินการบางอย่างแต่สมาชิกอีก 9 คน ไม่เห็นด้วย แต่หัวหน้ากลุ่มใช้อำนาจสั่งการให้ดำเนินการ บังคับให้ทุกคนต้องทำตามคำสั่งหรือยอมรับคำสั่ง อย่างนี้คือเผด็จการ แต่ถ้าในกลุ่มมีคน 7 คนเห็นด้วย แต่อีก 3 คนไม่เห็นด้วย แล้วตัดสินใจดำเนินการตามเสียงข้างมากอย่างนี้ไม่ใช่เผด็จการแต่อย่างใด เป็นหลักตัดสินใจโดยใช้เสียงส่วนใหญ่ ซึ่ง 3 คนที่ไม่เห็นด้วยก็ไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมหรือไม่ต้องยอมรับก็ได้ ไม่ได้บังคับ
Wednesday, May 15, 2013
is the proposed Tourist Court more than a gimmick?
Good luck if you're just an ordinary Thai citizen.
http://www.dailymail.co.uk/travel/article-2323719/Thailand-tourist-safety-Special-tourist-courts-set-fast-track-crimes.html
http://www.dailymail.co.uk/travel/article-2323719/Thailand-tourist-safety-Special-tourist-courts-set-fast-track-crimes.html
Sunday, May 12, 2013
Life of ?
เวลามีคนถามผมว่าได้แรงบันดาลใจจากไหน ผมมักจะนึกถึงหนังสือ Life of Pi ของ Yann Martel (ซึ่งสร้างเป็นหนังฮอลลีหวุดและออกมาเป็น DVD แล้ว) ที่ถามกลับว่า แล้วคุณอยากจะฟังคำตอบแบบไหน
อ่านหนังสือเล่มนี้ตอนแรกนึกว่าเป็นนิยายกึ่งนิทาน แต่ตอนจบทำให้ต้องกลับไปคิดใหม่ตั้งแต่ต้นว่าเรื่องราวที่เล่ามาทั้งหมดนั้นตรงกับ "ความจริง" จุดไหน อย่างไร
เป็นหนังสือที่อ่านง่าย ไม่ยาวมาก เมื่อมาสร้างเป็นหนังก็ดูง่าย ฉากสวยเพลินตา
เพลงที่ผมโหลดขึ้น YouTube ล่าสุดนี้ก็เป็นเพลงหนึ่งที่มีคนสงสัยว่าใครเป็นแรงดลใจให้แต่ง (เป็นเพลงที่มีหน้าของตัวเองด้วย!)
แต่คำตอบก็คงขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากจะฟังคำตอบแบบไหน
อ่านหนังสือเล่มนี้ตอนแรกนึกว่าเป็นนิยายกึ่งนิทาน แต่ตอนจบทำให้ต้องกลับไปคิดใหม่ตั้งแต่ต้นว่าเรื่องราวที่เล่ามาทั้งหมดนั้นตรงกับ "ความจริง" จุดไหน อย่างไร
เป็นหนังสือที่อ่านง่าย ไม่ยาวมาก เมื่อมาสร้างเป็นหนังก็ดูง่าย ฉากสวยเพลินตา
เพลงที่ผมโหลดขึ้น YouTube ล่าสุดนี้ก็เป็นเพลงหนึ่งที่มีคนสงสัยว่าใครเป็นแรงดลใจให้แต่ง (เป็นเพลงที่มีหน้าของตัวเองด้วย!)
แต่คำตอบก็คงขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากจะฟังคำตอบแบบไหน
Saturday, October 20, 2012
Miss Saigon แบบไทยๆ
ผมเป็นแฟนละครเพลง Miss Saigon ตั้งแต่ยุคแรกๆ เพราะเป็นละครที่ให้อารมณ์ดีมากๆ ไม่ว่าด้วยเนื้อร้อง ดนตรี หรือเสียงร้องของ Lea Salonga ผู้รับบท Kim ได้เข้าตาคนดูจนได้รับรางวัล Tony
พอได้ข่าวว่า Miss Saigon สร้างเป็นละครเพลงภาษาไทย คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คือ "ทำไม (ด้วยวะ)" เพราะเรื่องราวเกี่ยวกับทหารอเมริกัน (หรือที่เราเรียกว่า จีไอ) ที่ไปหลงรักกับสาวเวียดนาม แต่ในที่สุดต้องพลัดพรากจากกัน ถ้าดัดแปลงตัวพระเอกมาเป็นทหารไทย ความขัดแย้งทางวัฒนธรรมในเรื่องจะลดลงไปเยอะเลย โดยเฉพาะหลังจากที่พระเอกไปแต่งงานกับหญิงอเมริกัน
แต่ก็เถอะ ผมก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่าละครเพลงระดับมหาฮิตของบรอดเวย์เมื่อถ่ายทอดเป็นภาษาไทยแล้ว ยังจะหลงเหลือกลิ่นไอของความอมตะมากน้อยแค่ไหน ก็เลยทำสิ่งที่แฟน Miss Saigon พึงทำ เปล่าครับ ไม่ได้ไปซื้อตั๋วดู (เพราะกลัวว่าถ้าไม่ดีจะเสียดาย) แต่ไปดูคลิปใน YouTube เสียก่อน
เพลงสุดโรแมนติกจากละครเรื่องนี้ก็คือ The Last Night of the World ซึ่งเมื่อแสดงโดยต้นตำหรับ Lea Salonga กับ Simon Bowman จะเป็นอย่างนี้
สังเกต body language นะครับ ใกล้ชิดสนิทกายมาก ดูเหมือนคู่รักที่กำลังหลงไหลคลั่งไคล้กันจริงๆ
ทีนี้มาดูฉบับภาษาไทยกันบ้าง
ดูห่างเหินชอบกล ยืนก็ห่างกันเหลือกัน พอกำลังจะเข้าท่านางเอกก็วิ่งออกมาร้องใส่คนดู อารมณ์ที่กำลังรู้สึกว่าเรากำลังได้เห็นคู่รักพลอดรักกันกลายเป็นความรู้สึกว่านักร้องคู่นี้โชว์พลังร้องได้ดี แต่อารมณ์ร่วมในความโรแมนติกของฉากนี้หายหมดไม่เหลือหลอ
แน่นอนครับ จะต้องมีคนบอกว่าในวัฒนธรรมไทยผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว จะไปแสดงบทจูบกันกลางเวทีอย่างฝรั่งได้ยังไง แต่ต้องอย่าลืมนะครับว่าบทของ Kim เป็นโสเภณี ถึงจะเป็นโสเภณีน้องใหม่ที่ยังไร้ประสบการณ์ก็เถอะ ถึงยังไงก็น่าจะพยายามให้ดูสมจริงกว่านี้หน่อย
Just sayin'.
ถ้าอยากฟังเพลงจากละคร Miss Saigon ฉบับดั้งเดิมก็สั่งซื้อได้โดยคลิกที่นี่ครับ
พอได้ข่าวว่า Miss Saigon สร้างเป็นละครเพลงภาษาไทย คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คือ "ทำไม (ด้วยวะ)" เพราะเรื่องราวเกี่ยวกับทหารอเมริกัน (หรือที่เราเรียกว่า จีไอ) ที่ไปหลงรักกับสาวเวียดนาม แต่ในที่สุดต้องพลัดพรากจากกัน ถ้าดัดแปลงตัวพระเอกมาเป็นทหารไทย ความขัดแย้งทางวัฒนธรรมในเรื่องจะลดลงไปเยอะเลย โดยเฉพาะหลังจากที่พระเอกไปแต่งงานกับหญิงอเมริกัน
แต่ก็เถอะ ผมก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่าละครเพลงระดับมหาฮิตของบรอดเวย์เมื่อถ่ายทอดเป็นภาษาไทยแล้ว ยังจะหลงเหลือกลิ่นไอของความอมตะมากน้อยแค่ไหน ก็เลยทำสิ่งที่แฟน Miss Saigon พึงทำ เปล่าครับ ไม่ได้ไปซื้อตั๋วดู (เพราะกลัวว่าถ้าไม่ดีจะเสียดาย) แต่ไปดูคลิปใน YouTube เสียก่อน
เพลงสุดโรแมนติกจากละครเรื่องนี้ก็คือ The Last Night of the World ซึ่งเมื่อแสดงโดยต้นตำหรับ Lea Salonga กับ Simon Bowman จะเป็นอย่างนี้
สังเกต body language นะครับ ใกล้ชิดสนิทกายมาก ดูเหมือนคู่รักที่กำลังหลงไหลคลั่งไคล้กันจริงๆ
ทีนี้มาดูฉบับภาษาไทยกันบ้าง
ดูห่างเหินชอบกล ยืนก็ห่างกันเหลือกัน พอกำลังจะเข้าท่านางเอกก็วิ่งออกมาร้องใส่คนดู อารมณ์ที่กำลังรู้สึกว่าเรากำลังได้เห็นคู่รักพลอดรักกันกลายเป็นความรู้สึกว่านักร้องคู่นี้โชว์พลังร้องได้ดี แต่อารมณ์ร่วมในความโรแมนติกของฉากนี้หายหมดไม่เหลือหลอ
แน่นอนครับ จะต้องมีคนบอกว่าในวัฒนธรรมไทยผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว จะไปแสดงบทจูบกันกลางเวทีอย่างฝรั่งได้ยังไง แต่ต้องอย่าลืมนะครับว่าบทของ Kim เป็นโสเภณี ถึงจะเป็นโสเภณีน้องใหม่ที่ยังไร้ประสบการณ์ก็เถอะ ถึงยังไงก็น่าจะพยายามให้ดูสมจริงกว่านี้หน่อย
Just sayin'.
ถ้าอยากฟังเพลงจากละคร Miss Saigon ฉบับดั้งเดิมก็สั่งซื้อได้โดยคลิกที่นี่ครับ
Wednesday, June 06, 2012
Be the change
เวลาผมเจอเพื่อนๆ เรามักจะโอดครวญกันเรื่องคุณภาพของนักการเมืองไทย หันไปไหนก็มองไม่เห็นพระเอกที่จะขี่ม้าขาวมาช่วยกู้บ้านเมือง
ก็เลยนึกถึง campaign slogan (แคมเพ้น สโล่กั่น) = คำขวัญหาเสียงของ Barack Obama (บาร้าค โอบ๊าหม่า) เมื่อ 4 ปีที่แล้วที่ยืมมาจากมหาตมะ คานธี ว่า Be the change you wish to see in the world. = จงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่คุณต้องการจะเห็นในโลก
เรามองรอบตัวก็เห็นปัญหามากมาย แล้วเราก็หวังว่าจะมี "คนดี" มาแก้ไขปัญหาเหล่านั้น โดยลืมว่าในโลกแห่งความเป็นจริงคนดีอาจจะขาดคุณสมบัติอย่างอื่นที่ผู้นำพึงมี เช่นความฉลาด ความขยัน ความอึด และที่สำคัญคือความสามารถในการบันดาลใจคนทั้งชาติให้คล้อยตาม
เราแต่ละคนอาจขาดคุณสมบัติเหล่านั้น แต่ถ้าเราช่วยกันคนละไม้คนละมือ แก้ไขปัญหาทีละจุดสองจุด ทำตัวเองให้เป็น part of the solution = ส่วนหนึ่งของคำตอบ ไม่ใช่ part of the problem = ส่วนหนึ่งของปัญหา ไม่แน่นะครับ บ้านเมืองอาจจะดีขึ้นได้โดยเราไม่ต้องออกไปเยิ้วๆ กลางถนนก็ได้
ตัวอย่างง่ายๆ เช่น เคารพกฎจราจร สอนหนังสือเด็กยากจน ปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความสุภาพ เคารพรัก ใครทำดีกับเราก็ pass it forward = ส่งต่อไปข้างหน้า
ลองคิดดูสิครับว่ามีอะไรอีกบ้างที่เราแต่ละคนจะทำได้เพื่อให้สังคมน่าอยู่ขึ้น แล้วเราจะทำอย่างไรจึงจะให้สิ่งดีๆ เหล่านี้แพร่ระบาดไปทั่วสังคม แทนที่จะปล่อยให้สังคมมีแต่ความโกรธเกลียดอย่างเช่นทุกวันนี้
ก็เลยนึกถึง campaign slogan (แคมเพ้น สโล่กั่น) = คำขวัญหาเสียงของ Barack Obama (บาร้าค โอบ๊าหม่า) เมื่อ 4 ปีที่แล้วที่ยืมมาจากมหาตมะ คานธี ว่า Be the change you wish to see in the world. = จงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่คุณต้องการจะเห็นในโลก
เรามองรอบตัวก็เห็นปัญหามากมาย แล้วเราก็หวังว่าจะมี "คนดี" มาแก้ไขปัญหาเหล่านั้น โดยลืมว่าในโลกแห่งความเป็นจริงคนดีอาจจะขาดคุณสมบัติอย่างอื่นที่ผู้นำพึงมี เช่นความฉลาด ความขยัน ความอึด และที่สำคัญคือความสามารถในการบันดาลใจคนทั้งชาติให้คล้อยตาม
เราแต่ละคนอาจขาดคุณสมบัติเหล่านั้น แต่ถ้าเราช่วยกันคนละไม้คนละมือ แก้ไขปัญหาทีละจุดสองจุด ทำตัวเองให้เป็น part of the solution = ส่วนหนึ่งของคำตอบ ไม่ใช่ part of the problem = ส่วนหนึ่งของปัญหา ไม่แน่นะครับ บ้านเมืองอาจจะดีขึ้นได้โดยเราไม่ต้องออกไปเยิ้วๆ กลางถนนก็ได้
ตัวอย่างง่ายๆ เช่น เคารพกฎจราจร สอนหนังสือเด็กยากจน ปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความสุภาพ เคารพรัก ใครทำดีกับเราก็ pass it forward = ส่งต่อไปข้างหน้า
ลองคิดดูสิครับว่ามีอะไรอีกบ้างที่เราแต่ละคนจะทำได้เพื่อให้สังคมน่าอยู่ขึ้น แล้วเราจะทำอย่างไรจึงจะให้สิ่งดีๆ เหล่านี้แพร่ระบาดไปทั่วสังคม แทนที่จะปล่อยให้สังคมมีแต่ความโกรธเกลียดอย่างเช่นทุกวันนี้
Monday, March 05, 2012
Benedict Anderson: Outsider view of Thai politics
Below is a cached version of Prof. Ben Anderson's remarks which for some reason had disappeared from Prachatai.com. Apologies to Prof. Anderson and Prachatai.com for replicating the piece without authorization, but there is much food for thought here that should not simply disappear from cyberspace.
Benedict Anderson: Outsider view of Thai politics
Fri, 05/08/2011 - 17:51 | by prachatai
Benedict Anderson
Benedict Anderson, professor at Cornell University and author of Imagined Communities, offered his view on Thai politics at a forum organized by the Midnight University and the Faculty of Humanities of Chiang Mai University on 26 Jan 2011.
I have been asked to offer you some kind of “outsider” view of Thai politics these days, and I will try. But I am not sure what the meaning of an outsider really is. Is it simply a polite substitute for a farang, ie a Westerner who is not a Thai citizen, but knows something about Thai politics; who has the advantage of distance, but the disadvantage of not being deeply and constantly involved?
The implication is that farang who write about Siam think in a very different way from educated Thai. But my strong impression is that farang journalists and scholars in fact are heavily dependent on their Thai opposite numbers. On the other hand, there is Chris Baker, very English, a longtime resident in Siam, in good command of Thai, who writes quite distinctive and excellent columns on Thai politics, has penned the best modern books on Thai politics in partnership with Pasuk Phongphaichit, and with her too has just published a monumental English translation of Khun Chang Khun Paen. Is it right to call him an outsider?
But aren’t there millions of citizens of Siam who may be outsiders too?
Let me tell you a good story. Some months ago, I had a long chat with a taxi driver who was taking me to Ngong Ngu Hao [Suvarnabhumi Airport]. He was over 50 and came from Bangkok’s Chinatown. I asked him what he thought of Thaksin, and his answer surprised me. “Thaksin is wonderful, I support him 100%.” When I asked him why, he said Thaksin is a Hakka like me. They are the best Chinese: brave, tough, honest, and hardworking. Hakkas were the leaders of the great Tai P’ing rebellion which conquered South China and nearly toppled the Manchu Ch’ing dynasty. His enemies here are Hokkiens, Hailamese, and Teochiu. Aphisit’s family is Hokkien mixed with Vietnamese. Sonthi Liem [Limthongkul] is a Hailamese. Hokkiens are snobbish, lazy liars. Hailamese are dirty and opportunist. The Teochiu are tricky and dishonest.”
What about the Thai, I asked. He said: They are easy-going and happy-go-lucky. They only think about food and sex. Finally, I said that in that case Siam’s politics is just like the politics of Sam Kok [Romance of the Three Kingdoms]? And the taxi driver laughed in agreement.
How do Malays in the Deep South think about Thai politics, or the Chao Le [fisher folks], or the Khmer in southern Isan, or ordinary people tang jangwad [upcountry]? Of course, there are surveys now and then, but people have to respond to the categories of thought popular among the survey-makers. I don't know of anyone who has yet tried to see Thai politics through the eyes of minorities, small town and rural people. You could guess that they might be far more ‘outside’ than the run of farang reporters or scholars, especially when you remember the strong regionalist outlooks that have come to the surface over the past 15 years, and the widespread dislike and distrust of ‘Bangkok.’ This said, let me now turn to some probably mistaken opinions of my own.
Kasian Tejapira, one of the very best students I ever had, has been describing the present system as a ‘semi-democracy.’ This is the commonest way that outsiders tend to describe the political orders of Indonesia, the Philippines, and Malaysia. But in my opinion all these states, including Siam, are actually controlled, to varying extents, by oligarchies, clusters of interlocking families, whose children go to the same schools, whose businesses are interconnected, who marry among themselves, and share a common set of values and interests.
This does not mean that they do not compete among themselves, sometimes fiercely. Nor are they entirely exclusionary; they are flexible enough to assimilate various kinds of semi-outsiders, but on their own terms. They even have a kind of code of conduct – one element of which is not to use sexual scandals against each other.
A good sign of oligarchy is the absence of a coherent, well-managed opposition; another is the easy and rapid movement of sor-sor [MPs] between so-called parties as shifting governing coalitions get formed. Ne Win was one day the right hand man of Thaksin, and the next the builder of the anti-Thaksin present Aphisit government.
Crucial to a successful oligarchy is astute control of the electoral system. After Indonesia undertook its first ‘free elections’ following the fall of Suharto -- elections which were hailed as democratization in the Western press -- I ran into a senior American colleague who specializes in electoral systems, and, in fact, advised the Indonesian government. When I asked him his opinion, he shook his head and said “They have the worst electoral system I have ever experienced. This is not an accident, nor a sign of stupidity. The political leaders knew exactly what they were doing in framing the laws on elections.”
You can spot oligarchies also by the hierarchical language they use to generate legitimacy. The key word to look out for is “give.” The kind-grandfather regime will “give’ the national grandchildren almost free education, subsidies for farmers, tsunami warning apparatuses, cheap loans, computers for elementary schools, blankets and seeds for ‘backward’ ethnic groups and so on.
I am not a great admirer of either the US or the UK political system, but people in those two countries would find it odd and even insulting if the President or the Prime Minister talked about, say, ‘giving’ one million new jobs. I’m afraid that even the best Thai scholars do not yet pay enough detailed attention to the Thai oligarchy’s language. In Indonesia today, you will often find oligarchs complaining that the rakyat masih bodoh, which means the masses are still stupid/naïve. The phrase was coined in the period just after independence was achieved 60 years ago, when people thought this stupidity, created by the colonialists, would now soon disappear. Today the oligarchs without shame use the same language clearly meaning that the masses will always be stupid, and that is why the good-hearted fatherly oligarchy is necessary.
It is not a matter of great surprise that this fascination with pseudofeudal hierarchy is quite visible among the aspiring middle classes, but at this level without the word ‘give.’
In 1910, close to one third of the adult population of New York was working as maids, nannies, chauffeurs, guards and so on. Twenty years later, with the mass production of mechanical tools for cleaning and upkeeping houses, this population vanished.
Not so with the middle classes of oligarchic SE Asia, who also own these tools. Maids have become a sort of status symbol, and have frequently been abused physically, mentally, and financially, by the mother or grandmother of the bourgeois family – which tells you something about the mentality of quite a few middle class, maid-employing feminists.
In the old days, feudal aristocrats regarded their servants as their entourage, and often kept up long-term relations with them.
Middle class parents do not see the maids as ‘entourage,’ pay them stingily, and regularly fire them. The maids are usually regarded as unreliable, lying, thieving, and lazy girls – not people to be trusted.
For more than 10 years I have been giving New Year bonuses to the guards, mae ban [maids], and office personnel working at the middleclass condo where I live. I took it for granted that all the other 250 or so inhabitants of the condo were doing the same thing. Only this year did I discover that only Ajarn [teacher] Charnvit Kasetsiri and I did this. The condo inhabitants regard these people, whose names they rarely bother to know, as ‘servants,’ who shouldn't be ‘spoiled.’ Spoiling is only for their own often bratty children.
You can go to restaurants and malls and find middle-aged, middle-class people calling waiters, waitresses, and young salespeople ‘nong' [younger brother or sister]; which might sound friendly until you see that they never bother to know the names of these ‘nong,’ and would be angry if the nong called them ‘phi’ [older brother or sister]. People in universities giving talks liked to address their audience with the feudal ‘than,’ rather than words like ‘colleagues,’ or ‘friends.’ The country still has khunyings and Thanphuyings, which seems to me laughable in these modern times. English uses the words ‘brothers’ to indicate equality and solidarity, but the word can’t be translated into Thai, who have to use the hierarchical terms phi nong [older and younger brothers and sisters], which imply inequality and subordination. You could even argue that semi-feudal hierarchy is built deeply inside the Thai language.
Let me now turn briefly to two other important aspects of today’s politics, before concluding with a few simple remarks on possible futures which are not commonly spoken or written about.
The first is regionalism. Anyone who attended the early days of the Red Shirts’ huge demonstration last spring would have noticed the predominance of banners indicating the protesters' origins in Isaan [northeastern]. But what struck me was that most of the Isaan people were not young – not teens, not students, but people around 50 and up, both men and women. I wonder whether this has ever happened before in Siam. Why should it be so, given the region’s reputation for massive vote-buying and jaophor-ism [patronage system under local influential persons]?
In my opinion, only modern history can explain this. Up until the late 1970s, Isaan was, politically speaking, leftist – the outcome of poverty and Paak Klang [central region] and Bangkok’s humiliating attitude. The Communist Party of Thailand had its strongest support there.
In Siam’s one really democratic election, in 1975, it was the only region to elect MPs from the Socialist Party and Palang Mai. It was the region that suffered most from military oppression under the dictatorship of Sarit and his successors, and experienced most painfully the collapse of the CPT.
After 1976, there were no more leftist political parties of significance. Hence the drift towards selling votes as the only way to get any small benefit from the oligarchy-controlled electoral system. Youngsters who grew up in the 70s are now in their 50s and 60s, and Thaksin opened chances for them to enter politics again, beyond simple vote-selling and submission to jao phor [godfathers]. Hundreds of thousands of Isaan people have been coming to work in Bangkok and elsewhere outside Isaan (even Chinatown is now perhaps fuller of Isaan people than Chinese).
The evergrowing power of the mass media also reflects to them their status in Thai society. When was the last time you saw a dark Isaan beauty in films or TV soaps? Bangkok’s consumerist middeclass is dominated by luk jin [Chinese descendants], so that the image of TV beauty is as far from Isaan as possible – the desired ‘look’ is luk jin or luk kryng [half-western, half-Thai].
Isaan people are relegated to the sphere of comedy, slapstick, and farce, the traditional sphere of servants. But there is more to Isaan regionalism than that. During the Red Shirt demonstrations, I noticed that skilled orators like Nattawut and Jatuporn almost never mentioned the Deep South, which is actually treated much worse than the people of Isaan. The total killings in Bangkok, some by Reds but more by the military, were regarded and treated by the Reds and the Bangkok media as national calamities. No one mentioned that the murders at Tak Bai alone were more numerous than the deaths in Bangkok, let alone the casualties of the war in the Deep South over the past decade. Isaan regionalism is focussed on its own troubles. Middleclass Bangkok could not care less about the Deep South. You feel that as long as the territory remains ‘Thai,’ the local Malay Muslims should simply disappear.
The second topic is the politics of the Bangkok middle class or kratumpi [bourgeoisie], kratumpi yai [big] and kratumpi noi [petty]. Part of the mythology of progress and democracy in the West attributes a crucial role to the middle class or bourgeoisie and this legend is by no means wholly false. (It’s so easy to forget that more people were executed in the two weeks it took the middle class to destroy the Paris Commune of 1871 than during the whole of the French Revolution).
There is no doubt that the 19th century effloration of so many great novelists, painters, poets, playwrights, architects, social thinkers, and philosophers came out of the rise of middle classes to cultural dominance. The contrast with Siam could not be more striking. So far as I know, Bangkok has yet to give birth to a great novelist, poet, playwright, philosopher, architect, or social thinker. It is Kongkhaen, not Bangkok, that gave birth to Apichatpong Weerasetakul who, barely in his 40s, is internationally regarded as among the very top of world cinema directors, and this year won the Palme d’Or at Cannes. You might have expected that an artist of this calibre would be the object of immense pride by a bourgeoisie always anxious to show its international credentials. But no, the bourgeoisie continues passively to swallow up Hollywood junk, repetitive Chinese martial arts junk, imported videogames and trashy soaps. Middle class Bangkok, if one reads the advertisements, is interested only in good food, fashions from abroad, expensive resorts, and shopping trips in East Asia and Europe. It is really hard to find a beautiful public building in the Thai capital, and there is no Thai temple that can beat Wat Xian Thong in Luang Prabang. The shameful hubbub about Preah Wihan is one way of covering up what should be obvious to anyone, i.e. that there are no Thai-thai buildings than can compare with Cambodia’s Angkor, Java’s Borobudur, or Burma’s Pukan. One can suspect that Bangkok has a hidden inferiority complex in this regard. Two minutes at Preah Wihan tells anyone with brains that this gorgeous building is Khmer not Thai, so some Thais can’t bear this, so it has to be ‘ours.’
It would be difficult to expect anything from a capital city middle class of this type. It timidly supported the demonstrations of October 73, but turned its back on the students in 1976. It timidly supported the early Thaksin social policies, but very soon turned against him, and now expresses itself through noisy support for the monarchy and the Yellows. I should say that in this way the Bangkok bourgeoisie isn’t far from that of Manila, Kuala Lumpur, Singapore and Jakarta: timid, selfish, uncultured, consumerist, and without any decent vision of the future of the country.
Why it should be so is something that scholars have only begun to investigate. I am reminded of French Prime Minister Clemenceau’s devastating verdict on the US. He said that the US has progressed from barbarism to decadence without any intervening period of civilization.
Finally, let me turn, also timidly, to the future. The great Italian Marxist Gramsci famously wrote that” When the old refuses to die, and the new is struggling to be born, monsters appear.” He was thinking of the rise to power of ex-socialist Mussolini, the populist rightwing dictator who invented the word ‘fascism’ and imprisoned Gramsci for many years. I would like to ask you to consider this rather overdramatic idea.
My timid sense is that the old is dying though it still refuses to do so. What are the indicators to think about?
Last year, the Bangkok Post briefly noted that ten years ago there were still 6 million male Thais wearing yellow robes, either as full monks or as nen [novice]. Today the number has fallen to 1.5 million – a 75% loss. No doubt this drastic drop is partly a reaction to the commercialization of wats [temples], the regular financial and sexual scandals, and so on, which are obliquely recognized in the previously banned film Naak Phrok. But is surely also connected to a middle class feeling that putting their sons into wat, even if briefly, is a waste of time.
I know plenty of adult males who have never been ordained and have no plan to become, even for a few weeks, a monk. Some months ago Ajarn Nidhi wrote an insightful column about the language used by urban girls and young women. He argued that these young women use the yaap [indecent] language of young men and boys to insist on their right to equality and to reject gender hierarchy.
I have no doubt that he is partly right, though my very limited observations suggest that this yaap language is more common among girls together rather than in mixed company. But it can also be read more complexly. Western soaps, where girls often use the same limited coarse language of the boys, probably have their influence. Bangkok TV soaps regularly centre on spoiled, screaming girls who will say anything to shock or to punish. The change may also reflect both a democratization as well as a coarsening of public language.
The oligarchy’s code of silence on sex was actually first breached by Ai Lerm [Chalerm Yubamrung], who drove PM General Prem from power by threatening to call the elderly general a ‘tut’ [faggot] in parliamentary debate. But it was really Natthawut, the first brilliant orator in modern Siam, who openly attacked Prem (who else could he attack?) as a tut, even though Prem’s sexual life had nothing to do with his political maneuvering.
That Nattawut was code-breaking, and nothing more, or less, was shown by his welcoming on the Ratprasong stage of a cute teenage krathoey [transvestite] who had recently become a Red Shirt, even though the embarrassed boy confessed that his wonderful pua [husband] was a tahan [soldier]. Nattawut led the wild and friendly applause that the little tut created.
Western Europe shows many examples of sexual attacks on the ruling classes, from the 18th century on. In any case, we can be sure that all these trends are not going to disappear in a hurry. Democratization means both the right of the phrai [subjects or ordinary people] to demand, rather than to be ‘given’ something, as well as plenty of ugly language directed at the oligarchs. (If you don't believe this, look at the really repulsive language directed at Obama by American rightwingers.)
The other side of this development, enormously accentuated by the new culture of unstoppable blogs, cell phones, YouTube, Twitter, Facebook etc) is the coming crisis of the pivot of the oligarchy. This is not something in the least peculiar to Siam.
From the beginning of the 20th century, monarchy in Europe came under enormous pressure, with the rise of popular literacy, tabloids, etc etc. One basic cause was certainly the triumph of a secular culture. Traditionally monarchs were believed to be special God-blessed people, who even had the power to cure diseases among their subjects by the laying on of royal hands. This power ceased to exist in England in the early 18th century, and in France two or three decades later.
Out of this came eventually the idea of constitutional monarchy, and the end of the old magical aura of kingship. Monarchs had to adapt to the rise of nationalism inside ancient empires that included dozens of nationalities, by identifying themselves with one nationalism or another. They also had to deal with the expectations of the rising bourgeoisie. The age of royal debauchery was coming to an end, not least thanks to the spread of newspapers. In this way, bourgeois monarchy came into existence to replace feudal monarchy. The old idea that the fall of a dynasty would mean the rise of a new one, gradually disappeared. All European monarchs began to realize that if they fell, there would be no replacement. The fear was shown to be real between 1911 and 1920, when the dynasties in China, Russia, Austro-Hungary, the Ottoman Empire, and Great Germany all disappeared, together with the foundation of the League of Nations. Only in victorious UK, with its empire, did Class A monarchy survive, and it had to be as good bourgeois as possible. (But aura-less monarchy had a hard time of this, since its traditional legitimacy depended on aura).
In the UK this kind of monarchy survived pretty well until the unhappy marriage of Crown Prince Charles and Princess Diana. The secularization of the British monarchy meant that the tabloids, helped by computer hacks, showed that both husband and wife were adulterous. By then Diana, at least, had discovered a frail new way to achieve an aura. A true member of her generation, she found it in the mass media, as a super-celebrity. In the company of film stars and rock stars, both more beautiful, more creative and more intelligent than she, she had in her hand the ace of spades – she was royalty a status which no singer of film star could attain. But she did not understand that while media celebrities thrive on sexual and other scandals, royalty can not. She also did not realize how ephemeral celebrity really is. It works for the short period of aura that every film star has. She did enormous damage to the British monarchy, which is trying to make sure that the old bourgeois monarchy is revived. She was lucky to be still only a princess. Had she lived to become Queen, and still wished to be a celebrity, she might have brought monarchy to an end in the UK. We can learn from this.
Benedict Anderson: Outsider view of Thai politics
Fri, 05/08/2011 - 17:51 | by prachatai
Benedict Anderson
Benedict Anderson, professor at Cornell University and author of Imagined Communities, offered his view on Thai politics at a forum organized by the Midnight University and the Faculty of Humanities of Chiang Mai University on 26 Jan 2011.
I have been asked to offer you some kind of “outsider” view of Thai politics these days, and I will try. But I am not sure what the meaning of an outsider really is. Is it simply a polite substitute for a farang, ie a Westerner who is not a Thai citizen, but knows something about Thai politics; who has the advantage of distance, but the disadvantage of not being deeply and constantly involved?
The implication is that farang who write about Siam think in a very different way from educated Thai. But my strong impression is that farang journalists and scholars in fact are heavily dependent on their Thai opposite numbers. On the other hand, there is Chris Baker, very English, a longtime resident in Siam, in good command of Thai, who writes quite distinctive and excellent columns on Thai politics, has penned the best modern books on Thai politics in partnership with Pasuk Phongphaichit, and with her too has just published a monumental English translation of Khun Chang Khun Paen. Is it right to call him an outsider?
But aren’t there millions of citizens of Siam who may be outsiders too?
Let me tell you a good story. Some months ago, I had a long chat with a taxi driver who was taking me to Ngong Ngu Hao [Suvarnabhumi Airport]. He was over 50 and came from Bangkok’s Chinatown. I asked him what he thought of Thaksin, and his answer surprised me. “Thaksin is wonderful, I support him 100%.” When I asked him why, he said Thaksin is a Hakka like me. They are the best Chinese: brave, tough, honest, and hardworking. Hakkas were the leaders of the great Tai P’ing rebellion which conquered South China and nearly toppled the Manchu Ch’ing dynasty. His enemies here are Hokkiens, Hailamese, and Teochiu. Aphisit’s family is Hokkien mixed with Vietnamese. Sonthi Liem [Limthongkul] is a Hailamese. Hokkiens are snobbish, lazy liars. Hailamese are dirty and opportunist. The Teochiu are tricky and dishonest.”
What about the Thai, I asked. He said: They are easy-going and happy-go-lucky. They only think about food and sex. Finally, I said that in that case Siam’s politics is just like the politics of Sam Kok [Romance of the Three Kingdoms]? And the taxi driver laughed in agreement.
How do Malays in the Deep South think about Thai politics, or the Chao Le [fisher folks], or the Khmer in southern Isan, or ordinary people tang jangwad [upcountry]? Of course, there are surveys now and then, but people have to respond to the categories of thought popular among the survey-makers. I don't know of anyone who has yet tried to see Thai politics through the eyes of minorities, small town and rural people. You could guess that they might be far more ‘outside’ than the run of farang reporters or scholars, especially when you remember the strong regionalist outlooks that have come to the surface over the past 15 years, and the widespread dislike and distrust of ‘Bangkok.’ This said, let me now turn to some probably mistaken opinions of my own.
Kasian Tejapira, one of the very best students I ever had, has been describing the present system as a ‘semi-democracy.’ This is the commonest way that outsiders tend to describe the political orders of Indonesia, the Philippines, and Malaysia. But in my opinion all these states, including Siam, are actually controlled, to varying extents, by oligarchies, clusters of interlocking families, whose children go to the same schools, whose businesses are interconnected, who marry among themselves, and share a common set of values and interests.
This does not mean that they do not compete among themselves, sometimes fiercely. Nor are they entirely exclusionary; they are flexible enough to assimilate various kinds of semi-outsiders, but on their own terms. They even have a kind of code of conduct – one element of which is not to use sexual scandals against each other.
A good sign of oligarchy is the absence of a coherent, well-managed opposition; another is the easy and rapid movement of sor-sor [MPs] between so-called parties as shifting governing coalitions get formed. Ne Win was one day the right hand man of Thaksin, and the next the builder of the anti-Thaksin present Aphisit government.
Crucial to a successful oligarchy is astute control of the electoral system. After Indonesia undertook its first ‘free elections’ following the fall of Suharto -- elections which were hailed as democratization in the Western press -- I ran into a senior American colleague who specializes in electoral systems, and, in fact, advised the Indonesian government. When I asked him his opinion, he shook his head and said “They have the worst electoral system I have ever experienced. This is not an accident, nor a sign of stupidity. The political leaders knew exactly what they were doing in framing the laws on elections.”
You can spot oligarchies also by the hierarchical language they use to generate legitimacy. The key word to look out for is “give.” The kind-grandfather regime will “give’ the national grandchildren almost free education, subsidies for farmers, tsunami warning apparatuses, cheap loans, computers for elementary schools, blankets and seeds for ‘backward’ ethnic groups and so on.
I am not a great admirer of either the US or the UK political system, but people in those two countries would find it odd and even insulting if the President or the Prime Minister talked about, say, ‘giving’ one million new jobs. I’m afraid that even the best Thai scholars do not yet pay enough detailed attention to the Thai oligarchy’s language. In Indonesia today, you will often find oligarchs complaining that the rakyat masih bodoh, which means the masses are still stupid/naïve. The phrase was coined in the period just after independence was achieved 60 years ago, when people thought this stupidity, created by the colonialists, would now soon disappear. Today the oligarchs without shame use the same language clearly meaning that the masses will always be stupid, and that is why the good-hearted fatherly oligarchy is necessary.
It is not a matter of great surprise that this fascination with pseudofeudal hierarchy is quite visible among the aspiring middle classes, but at this level without the word ‘give.’
In 1910, close to one third of the adult population of New York was working as maids, nannies, chauffeurs, guards and so on. Twenty years later, with the mass production of mechanical tools for cleaning and upkeeping houses, this population vanished.
Not so with the middle classes of oligarchic SE Asia, who also own these tools. Maids have become a sort of status symbol, and have frequently been abused physically, mentally, and financially, by the mother or grandmother of the bourgeois family – which tells you something about the mentality of quite a few middle class, maid-employing feminists.
In the old days, feudal aristocrats regarded their servants as their entourage, and often kept up long-term relations with them.
Middle class parents do not see the maids as ‘entourage,’ pay them stingily, and regularly fire them. The maids are usually regarded as unreliable, lying, thieving, and lazy girls – not people to be trusted.
For more than 10 years I have been giving New Year bonuses to the guards, mae ban [maids], and office personnel working at the middleclass condo where I live. I took it for granted that all the other 250 or so inhabitants of the condo were doing the same thing. Only this year did I discover that only Ajarn [teacher] Charnvit Kasetsiri and I did this. The condo inhabitants regard these people, whose names they rarely bother to know, as ‘servants,’ who shouldn't be ‘spoiled.’ Spoiling is only for their own often bratty children.
You can go to restaurants and malls and find middle-aged, middle-class people calling waiters, waitresses, and young salespeople ‘nong' [younger brother or sister]; which might sound friendly until you see that they never bother to know the names of these ‘nong,’ and would be angry if the nong called them ‘phi’ [older brother or sister]. People in universities giving talks liked to address their audience with the feudal ‘than,’ rather than words like ‘colleagues,’ or ‘friends.’ The country still has khunyings and Thanphuyings, which seems to me laughable in these modern times. English uses the words ‘brothers’ to indicate equality and solidarity, but the word can’t be translated into Thai, who have to use the hierarchical terms phi nong [older and younger brothers and sisters], which imply inequality and subordination. You could even argue that semi-feudal hierarchy is built deeply inside the Thai language.
Let me now turn briefly to two other important aspects of today’s politics, before concluding with a few simple remarks on possible futures which are not commonly spoken or written about.
The first is regionalism. Anyone who attended the early days of the Red Shirts’ huge demonstration last spring would have noticed the predominance of banners indicating the protesters' origins in Isaan [northeastern]. But what struck me was that most of the Isaan people were not young – not teens, not students, but people around 50 and up, both men and women. I wonder whether this has ever happened before in Siam. Why should it be so, given the region’s reputation for massive vote-buying and jaophor-ism [patronage system under local influential persons]?
In my opinion, only modern history can explain this. Up until the late 1970s, Isaan was, politically speaking, leftist – the outcome of poverty and Paak Klang [central region] and Bangkok’s humiliating attitude. The Communist Party of Thailand had its strongest support there.
In Siam’s one really democratic election, in 1975, it was the only region to elect MPs from the Socialist Party and Palang Mai. It was the region that suffered most from military oppression under the dictatorship of Sarit and his successors, and experienced most painfully the collapse of the CPT.
After 1976, there were no more leftist political parties of significance. Hence the drift towards selling votes as the only way to get any small benefit from the oligarchy-controlled electoral system. Youngsters who grew up in the 70s are now in their 50s and 60s, and Thaksin opened chances for them to enter politics again, beyond simple vote-selling and submission to jao phor [godfathers]. Hundreds of thousands of Isaan people have been coming to work in Bangkok and elsewhere outside Isaan (even Chinatown is now perhaps fuller of Isaan people than Chinese).
The evergrowing power of the mass media also reflects to them their status in Thai society. When was the last time you saw a dark Isaan beauty in films or TV soaps? Bangkok’s consumerist middeclass is dominated by luk jin [Chinese descendants], so that the image of TV beauty is as far from Isaan as possible – the desired ‘look’ is luk jin or luk kryng [half-western, half-Thai].
Isaan people are relegated to the sphere of comedy, slapstick, and farce, the traditional sphere of servants. But there is more to Isaan regionalism than that. During the Red Shirt demonstrations, I noticed that skilled orators like Nattawut and Jatuporn almost never mentioned the Deep South, which is actually treated much worse than the people of Isaan. The total killings in Bangkok, some by Reds but more by the military, were regarded and treated by the Reds and the Bangkok media as national calamities. No one mentioned that the murders at Tak Bai alone were more numerous than the deaths in Bangkok, let alone the casualties of the war in the Deep South over the past decade. Isaan regionalism is focussed on its own troubles. Middleclass Bangkok could not care less about the Deep South. You feel that as long as the territory remains ‘Thai,’ the local Malay Muslims should simply disappear.
The second topic is the politics of the Bangkok middle class or kratumpi [bourgeoisie], kratumpi yai [big] and kratumpi noi [petty]. Part of the mythology of progress and democracy in the West attributes a crucial role to the middle class or bourgeoisie and this legend is by no means wholly false. (It’s so easy to forget that more people were executed in the two weeks it took the middle class to destroy the Paris Commune of 1871 than during the whole of the French Revolution).
There is no doubt that the 19th century effloration of so many great novelists, painters, poets, playwrights, architects, social thinkers, and philosophers came out of the rise of middle classes to cultural dominance. The contrast with Siam could not be more striking. So far as I know, Bangkok has yet to give birth to a great novelist, poet, playwright, philosopher, architect, or social thinker. It is Kongkhaen, not Bangkok, that gave birth to Apichatpong Weerasetakul who, barely in his 40s, is internationally regarded as among the very top of world cinema directors, and this year won the Palme d’Or at Cannes. You might have expected that an artist of this calibre would be the object of immense pride by a bourgeoisie always anxious to show its international credentials. But no, the bourgeoisie continues passively to swallow up Hollywood junk, repetitive Chinese martial arts junk, imported videogames and trashy soaps. Middle class Bangkok, if one reads the advertisements, is interested only in good food, fashions from abroad, expensive resorts, and shopping trips in East Asia and Europe. It is really hard to find a beautiful public building in the Thai capital, and there is no Thai temple that can beat Wat Xian Thong in Luang Prabang. The shameful hubbub about Preah Wihan is one way of covering up what should be obvious to anyone, i.e. that there are no Thai-thai buildings than can compare with Cambodia’s Angkor, Java’s Borobudur, or Burma’s Pukan. One can suspect that Bangkok has a hidden inferiority complex in this regard. Two minutes at Preah Wihan tells anyone with brains that this gorgeous building is Khmer not Thai, so some Thais can’t bear this, so it has to be ‘ours.’
It would be difficult to expect anything from a capital city middle class of this type. It timidly supported the demonstrations of October 73, but turned its back on the students in 1976. It timidly supported the early Thaksin social policies, but very soon turned against him, and now expresses itself through noisy support for the monarchy and the Yellows. I should say that in this way the Bangkok bourgeoisie isn’t far from that of Manila, Kuala Lumpur, Singapore and Jakarta: timid, selfish, uncultured, consumerist, and without any decent vision of the future of the country.
Why it should be so is something that scholars have only begun to investigate. I am reminded of French Prime Minister Clemenceau’s devastating verdict on the US. He said that the US has progressed from barbarism to decadence without any intervening period of civilization.
Finally, let me turn, also timidly, to the future. The great Italian Marxist Gramsci famously wrote that” When the old refuses to die, and the new is struggling to be born, monsters appear.” He was thinking of the rise to power of ex-socialist Mussolini, the populist rightwing dictator who invented the word ‘fascism’ and imprisoned Gramsci for many years. I would like to ask you to consider this rather overdramatic idea.
My timid sense is that the old is dying though it still refuses to do so. What are the indicators to think about?
Last year, the Bangkok Post briefly noted that ten years ago there were still 6 million male Thais wearing yellow robes, either as full monks or as nen [novice]. Today the number has fallen to 1.5 million – a 75% loss. No doubt this drastic drop is partly a reaction to the commercialization of wats [temples], the regular financial and sexual scandals, and so on, which are obliquely recognized in the previously banned film Naak Phrok. But is surely also connected to a middle class feeling that putting their sons into wat, even if briefly, is a waste of time.
I know plenty of adult males who have never been ordained and have no plan to become, even for a few weeks, a monk. Some months ago Ajarn Nidhi wrote an insightful column about the language used by urban girls and young women. He argued that these young women use the yaap [indecent] language of young men and boys to insist on their right to equality and to reject gender hierarchy.
I have no doubt that he is partly right, though my very limited observations suggest that this yaap language is more common among girls together rather than in mixed company. But it can also be read more complexly. Western soaps, where girls often use the same limited coarse language of the boys, probably have their influence. Bangkok TV soaps regularly centre on spoiled, screaming girls who will say anything to shock or to punish. The change may also reflect both a democratization as well as a coarsening of public language.
The oligarchy’s code of silence on sex was actually first breached by Ai Lerm [Chalerm Yubamrung], who drove PM General Prem from power by threatening to call the elderly general a ‘tut’ [faggot] in parliamentary debate. But it was really Natthawut, the first brilliant orator in modern Siam, who openly attacked Prem (who else could he attack?) as a tut, even though Prem’s sexual life had nothing to do with his political maneuvering.
That Nattawut was code-breaking, and nothing more, or less, was shown by his welcoming on the Ratprasong stage of a cute teenage krathoey [transvestite] who had recently become a Red Shirt, even though the embarrassed boy confessed that his wonderful pua [husband] was a tahan [soldier]. Nattawut led the wild and friendly applause that the little tut created.
Western Europe shows many examples of sexual attacks on the ruling classes, from the 18th century on. In any case, we can be sure that all these trends are not going to disappear in a hurry. Democratization means both the right of the phrai [subjects or ordinary people] to demand, rather than to be ‘given’ something, as well as plenty of ugly language directed at the oligarchs. (If you don't believe this, look at the really repulsive language directed at Obama by American rightwingers.)
The other side of this development, enormously accentuated by the new culture of unstoppable blogs, cell phones, YouTube, Twitter, Facebook etc) is the coming crisis of the pivot of the oligarchy. This is not something in the least peculiar to Siam.
From the beginning of the 20th century, monarchy in Europe came under enormous pressure, with the rise of popular literacy, tabloids, etc etc. One basic cause was certainly the triumph of a secular culture. Traditionally monarchs were believed to be special God-blessed people, who even had the power to cure diseases among their subjects by the laying on of royal hands. This power ceased to exist in England in the early 18th century, and in France two or three decades later.
Out of this came eventually the idea of constitutional monarchy, and the end of the old magical aura of kingship. Monarchs had to adapt to the rise of nationalism inside ancient empires that included dozens of nationalities, by identifying themselves with one nationalism or another. They also had to deal with the expectations of the rising bourgeoisie. The age of royal debauchery was coming to an end, not least thanks to the spread of newspapers. In this way, bourgeois monarchy came into existence to replace feudal monarchy. The old idea that the fall of a dynasty would mean the rise of a new one, gradually disappeared. All European monarchs began to realize that if they fell, there would be no replacement. The fear was shown to be real between 1911 and 1920, when the dynasties in China, Russia, Austro-Hungary, the Ottoman Empire, and Great Germany all disappeared, together with the foundation of the League of Nations. Only in victorious UK, with its empire, did Class A monarchy survive, and it had to be as good bourgeois as possible. (But aura-less monarchy had a hard time of this, since its traditional legitimacy depended on aura).
In the UK this kind of monarchy survived pretty well until the unhappy marriage of Crown Prince Charles and Princess Diana. The secularization of the British monarchy meant that the tabloids, helped by computer hacks, showed that both husband and wife were adulterous. By then Diana, at least, had discovered a frail new way to achieve an aura. A true member of her generation, she found it in the mass media, as a super-celebrity. In the company of film stars and rock stars, both more beautiful, more creative and more intelligent than she, she had in her hand the ace of spades – she was royalty a status which no singer of film star could attain. But she did not understand that while media celebrities thrive on sexual and other scandals, royalty can not. She also did not realize how ephemeral celebrity really is. It works for the short period of aura that every film star has. She did enormous damage to the British monarchy, which is trying to make sure that the old bourgeois monarchy is revived. She was lucky to be still only a princess. Had she lived to become Queen, and still wished to be a celebrity, she might have brought monarchy to an end in the UK. We can learn from this.
Wednesday, April 27, 2011
Wag the Dog?
Bangkok's political turmoil is damaging regional stability
APRIL 26, 2011
The Wall Street Journal
Fighting over the disputed territory surrounding the Preah Vihear Temple along the Thai-Cambodia border resumed last Friday, with both sides trading artillery fire and accusations of targeting civilian villages throughout the weekend. The Associated Press reports 12 soldiers confirmed dead.
The world may never know which side started the latest clash, since Thailand continues to resist allowing international observers to monitor the area. And both countries deserve some blame for stirring the pot at various times. Nevertheless, it has become increasingly clear that the Thai military is doing nothing to ease the tension.
That much we know from the way that the military, and then Bangkok, vetoed initiatives to get the two sides talking. After the last major bout of fighting in February, Cambodia succeeded in bringing the matter to the United Nations Security Council, which promptly kicked it back to the Association of Southeast Asian Nations. Indonesia, the chair of Asean this year, has played shuttle diplomacy trying to bring the two sides together, but Bangkok continues to balk. That has allowed Cambodia to play the aggrieved and more reasonable party.
Thailand's unwillingness to even contemplate compromise may be due to the broader impasse in its domestic politics. In 2008, the royalist People's Alliance for Democracy, more commonly known as the yellow shirts, took up the temple issue as a cudgel against the government of Samak Sundaravej. The same group has now turned on Prime Minister Abhisit Vejjajiva and is castigating him for not taking more aggressive action to recover the temple.
Meanwhile, the military is positioning itself as the main defender of the monarchy and Thai sovereignty. Tension between the military and the civilian government has been mounting since Mr. Abhisit announced elections would be held within the next few months. Bangkok is rife with rumors that a coup is imminent.
The military, palace and business elite all fear that supporters of deposed Prime Minister Thaksin Shinawatra will win their fourth straight general election. The last three results were annulled by a coup and court rulings, and the red shirt supporters of Mr. Thaksin have become increasingly restive as a result of their disenfranchisement. Even if their Puea Thai Party wins, there is a strong chance they will not be allowed to form a government. So further unrest later this year seems likely.
In this context, a fight with Cambodia might seem an appealing way out of the deadlock. A limited war with a much smaller neighbor could unify Thais, as the red shirts would feel pressure to get behind the military in a time of national crisis. Mr. Abhisit, who has never won an election and is widely regarded as a figurehead within Thailand, could be dispensed with, and elections pushed off until the glow of victory and massive public spending restore the Bangkok elite's popularity.
Perhaps the Thai military understands how much could go wrong with such a scenario and is only engaging in brinksmanship. But even this runs the risk of accidental escalation. And once a conflict starts, Asean nations would be put in the impossible position of having to choose sides, which might tear the organization apart.
Thailand's friends have a responsibility to dissuade the military from military adventures. It's also time they addressed the root cause of the problem. This conflict is a sign that the nation's internal political crisis is beginning to generate external costs, showing once again that Asean's credo of noninterference in domestic politics needs to be tempered with an awareness that promotion of democracy is part and parcel of regional stability.
As long as the military is allowed to play its pivotal role in national politics, Thailand will fail to play its rightful role as a stabilizing force in Southeast Asia.
APRIL 26, 2011
The Wall Street Journal
Fighting over the disputed territory surrounding the Preah Vihear Temple along the Thai-Cambodia border resumed last Friday, with both sides trading artillery fire and accusations of targeting civilian villages throughout the weekend. The Associated Press reports 12 soldiers confirmed dead.
The world may never know which side started the latest clash, since Thailand continues to resist allowing international observers to monitor the area. And both countries deserve some blame for stirring the pot at various times. Nevertheless, it has become increasingly clear that the Thai military is doing nothing to ease the tension.
That much we know from the way that the military, and then Bangkok, vetoed initiatives to get the two sides talking. After the last major bout of fighting in February, Cambodia succeeded in bringing the matter to the United Nations Security Council, which promptly kicked it back to the Association of Southeast Asian Nations. Indonesia, the chair of Asean this year, has played shuttle diplomacy trying to bring the two sides together, but Bangkok continues to balk. That has allowed Cambodia to play the aggrieved and more reasonable party.
Thailand's unwillingness to even contemplate compromise may be due to the broader impasse in its domestic politics. In 2008, the royalist People's Alliance for Democracy, more commonly known as the yellow shirts, took up the temple issue as a cudgel against the government of Samak Sundaravej. The same group has now turned on Prime Minister Abhisit Vejjajiva and is castigating him for not taking more aggressive action to recover the temple.
Meanwhile, the military is positioning itself as the main defender of the monarchy and Thai sovereignty. Tension between the military and the civilian government has been mounting since Mr. Abhisit announced elections would be held within the next few months. Bangkok is rife with rumors that a coup is imminent.
The military, palace and business elite all fear that supporters of deposed Prime Minister Thaksin Shinawatra will win their fourth straight general election. The last three results were annulled by a coup and court rulings, and the red shirt supporters of Mr. Thaksin have become increasingly restive as a result of their disenfranchisement. Even if their Puea Thai Party wins, there is a strong chance they will not be allowed to form a government. So further unrest later this year seems likely.
In this context, a fight with Cambodia might seem an appealing way out of the deadlock. A limited war with a much smaller neighbor could unify Thais, as the red shirts would feel pressure to get behind the military in a time of national crisis. Mr. Abhisit, who has never won an election and is widely regarded as a figurehead within Thailand, could be dispensed with, and elections pushed off until the glow of victory and massive public spending restore the Bangkok elite's popularity.
Perhaps the Thai military understands how much could go wrong with such a scenario and is only engaging in brinksmanship. But even this runs the risk of accidental escalation. And once a conflict starts, Asean nations would be put in the impossible position of having to choose sides, which might tear the organization apart.
Thailand's friends have a responsibility to dissuade the military from military adventures. It's also time they addressed the root cause of the problem. This conflict is a sign that the nation's internal political crisis is beginning to generate external costs, showing once again that Asean's credo of noninterference in domestic politics needs to be tempered with an awareness that promotion of democracy is part and parcel of regional stability.
As long as the military is allowed to play its pivotal role in national politics, Thailand will fail to play its rightful role as a stabilizing force in Southeast Asia.
Thursday, January 20, 2011
ฉันให้เงินสินบน
ลองอ่านบทความข้างล่างแล้วเปลี่ยนชื่อประเทศจาก India มาเป็น Thailand เปลี่ยนชื่อเมืองหลวงจาก New Delhi มาเป็น Bangkok ฯลฯ สิครับ ดูซิว่าจะรู้สึกแปลกหรือเปล่า หรือรู้สึกว่า เอ้อ ก็จริงนี่นะ
Paid a bribe? Click here to complain
By Sara Sidner, CNN
January 20, 2011 -- Updated 1308 GMT (2108 HKT)
New Delhi (CNN) -- In India if you ask citizens about corruption almost everyone has a story. Bribes and kickbacks have become a part of everyday life for many.
"Every day, I see corruption. So, even if we need licenses and all that, it's something you put on the table first and then the license comes," marketing executive Rachit Kapoor said.
"If you go to a government hospital, you will not be admitted for treatment unless you know some employee or you bribe staff," said Deepak Kotwol, from Delhi. "Your building plans will not be passed until you bribe municipal officials. This has become part of life now."
Now there's a website for citizens to vent their frustration, without fear of retaliation. They can click on a link at Ipaidabribe.com and tell their story.
"If you look at the kind of reports that come to us, the emotions of the people who report an experience are of disgust, of anger, of fear," said Raghunandan Thoniparambil, who helps run the site through a non-profit organization called Janaagraha.
"There are two kinds of corruption. We are basically looking at over-the-counter corruption, what is very widespread but perhaps relatively small amounts but that affects citizens directly. And then you have grand corruption, what happens behind closed doors, people are taking huge bribes, there is a feeling that huge bribes don't affect citizens so it's okay, these things happen. But I don't think so; I think that has very serious implications to the country. And I think one of the biggest problems in India is that our corruption laws are extremely weak," Raghunandan Thoniparambil said.
"Raghu," as Thoniparambil is known on the site, says the website is not a place to shame individuals. It was set up to kick out any names of individuals but record the department or company where the bribe was taken or requested. The idea is to capture information that can be used for systemic change, Thoniparambil said. The group has already submitted some of their findings to the government.
There is also an "I did not have to pay a bribe" button for people to share stories about that. As you click through the site it is apparent most people are surprised they did not have to pay a bribe in certain cases. That, Raghu said, says much about people's general acceptance of petty corruption.
Raghu was a long-time government employee and said he has watched corruption grow into a monster.
"Twenty-seven years back when I joined the government it wasn't so systematic. You knew that this happened in a few departments. You knew this happened in the taxation department or the police but now it's happening in the most unlikely places." he said.
By coincidence, ipaidabribe.com was set up last summer just as a season of alleged scams unfolded in the country. The cases are still being investigated.
News of the scandals began with allegations of tax fraud in India's new multi-billion dollar cricket league, the Indian Premier League (IPL). The former IPL chairman denied allegations of wrongdoing.
Then came the Commonwealth Games and allegations of kickbacks and mis-spending.
The largest of all scandals followed. The so-called 2G scam, where lucrative telecommunications bandwidth was sold at 2001 prices allegedly by a government minister, who has denied all the charges.
According to the government, the estimated cost of that scandal alone is $40 billion in lost revenues.
Last but not least there was a scandal over an apartment building that was supposed to provide housing for widows of fallen Indian service members. Instead, some of those apartments were allegedly given to un-qualified government officials.
India's ruling political coalition is scrambling to try to save its reputation in the light of all the scandals.
"I think the fear is that India would be seen as what Rattan Tate said is a banana republic, you see, where anything can be done at a price. And that just creates such a wrong impression," said Rajiv Kumar, director-general of the private Federation of Indian Chambers of Commerce and Industry or FICCI. He believes India as a whole is a law-abiding country but said the recent corruption scandals are threatening to tarnish its image.
"It really hurts a lot at a time when India is attempting or is seen as joining the high table for global governance. So you don't want a country with a mixed record on corruption and governance at home to be now becoming a member of the high table for global governance. That's where that hurts and another one hurts in our growth prospects." The reason, he believes, is that it creates uncertainty, and uncertainty can scare off potential investors.
Analysts said as India rises in economic dominance its leaders need to worry about governance at home or risk India's chances of becoming a world leader.
Paid a bribe? Click here to complain
By Sara Sidner, CNN
January 20, 2011 -- Updated 1308 GMT (2108 HKT)
New Delhi (CNN) -- In India if you ask citizens about corruption almost everyone has a story. Bribes and kickbacks have become a part of everyday life for many.
"Every day, I see corruption. So, even if we need licenses and all that, it's something you put on the table first and then the license comes," marketing executive Rachit Kapoor said.
"If you go to a government hospital, you will not be admitted for treatment unless you know some employee or you bribe staff," said Deepak Kotwol, from Delhi. "Your building plans will not be passed until you bribe municipal officials. This has become part of life now."
Now there's a website for citizens to vent their frustration, without fear of retaliation. They can click on a link at Ipaidabribe.com and tell their story.
"If you look at the kind of reports that come to us, the emotions of the people who report an experience are of disgust, of anger, of fear," said Raghunandan Thoniparambil, who helps run the site through a non-profit organization called Janaagraha.
"There are two kinds of corruption. We are basically looking at over-the-counter corruption, what is very widespread but perhaps relatively small amounts but that affects citizens directly. And then you have grand corruption, what happens behind closed doors, people are taking huge bribes, there is a feeling that huge bribes don't affect citizens so it's okay, these things happen. But I don't think so; I think that has very serious implications to the country. And I think one of the biggest problems in India is that our corruption laws are extremely weak," Raghunandan Thoniparambil said.
"Raghu," as Thoniparambil is known on the site, says the website is not a place to shame individuals. It was set up to kick out any names of individuals but record the department or company where the bribe was taken or requested. The idea is to capture information that can be used for systemic change, Thoniparambil said. The group has already submitted some of their findings to the government.
There is also an "I did not have to pay a bribe" button for people to share stories about that. As you click through the site it is apparent most people are surprised they did not have to pay a bribe in certain cases. That, Raghu said, says much about people's general acceptance of petty corruption.
Raghu was a long-time government employee and said he has watched corruption grow into a monster.
"Twenty-seven years back when I joined the government it wasn't so systematic. You knew that this happened in a few departments. You knew this happened in the taxation department or the police but now it's happening in the most unlikely places." he said.
By coincidence, ipaidabribe.com was set up last summer just as a season of alleged scams unfolded in the country. The cases are still being investigated.
News of the scandals began with allegations of tax fraud in India's new multi-billion dollar cricket league, the Indian Premier League (IPL). The former IPL chairman denied allegations of wrongdoing.
Then came the Commonwealth Games and allegations of kickbacks and mis-spending.
The largest of all scandals followed. The so-called 2G scam, where lucrative telecommunications bandwidth was sold at 2001 prices allegedly by a government minister, who has denied all the charges.
According to the government, the estimated cost of that scandal alone is $40 billion in lost revenues.
Last but not least there was a scandal over an apartment building that was supposed to provide housing for widows of fallen Indian service members. Instead, some of those apartments were allegedly given to un-qualified government officials.
India's ruling political coalition is scrambling to try to save its reputation in the light of all the scandals.
"I think the fear is that India would be seen as what Rattan Tate said is a banana republic, you see, where anything can be done at a price. And that just creates such a wrong impression," said Rajiv Kumar, director-general of the private Federation of Indian Chambers of Commerce and Industry or FICCI. He believes India as a whole is a law-abiding country but said the recent corruption scandals are threatening to tarnish its image.
"It really hurts a lot at a time when India is attempting or is seen as joining the high table for global governance. So you don't want a country with a mixed record on corruption and governance at home to be now becoming a member of the high table for global governance. That's where that hurts and another one hurts in our growth prospects." The reason, he believes, is that it creates uncertainty, and uncertainty can scare off potential investors.
Analysts said as India rises in economic dominance its leaders need to worry about governance at home or risk India's chances of becoming a world leader.
Monday, January 17, 2011
Frozen dewdrops?
ที่ผมเคยบอกว่าไม่แนะนำให้อ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษของไทยก็เพราะรายงานข่าวอย่างข้างล่างนี้แหละครับ เป็นการเขียนข่าวโดยคนที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษ ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะคนไทยที่รู้ภาษาอังกฤษดีพอที่จะเขียนข่าวได้คงมีไม่มาก แต่อย่างน้อยควรผ่านสายตาบก.ภาษาเสียก่อน เด็กไทยที่ไม่มีตังค์ซื้อหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษจากต่างประเทศจะได้ไม่จำไปใช้ผิดๆ
ถึงแม้จะลงเพียงเว็บไซท์ก็เถอะ ควรมี QC ไม่น้อยกว่าหนังสือพิมพ์ เพราะคนอ่านเยอะกว่า
"น้ำค้างที่เย็นจนเป็นน้ำแข็ง" ภาษาเหนือเรียกว่า "แม่คะนิ้ง" ส่วนภาษาอังกฤษเรียกว่า frost ครับ ไม่ใช่ frozen dewdrops
Frozen dewdrops happen in Loei
The Nation, Breaking News, 17 Jan 2011
Loei - Frozen dewdrops were spotted in several villages in Loei's Phurua district Monday morning, the district chief said.
Thanapol Channimi, the Phurua district chief, said the cold weather attracted a lot of tourists to the popular Phurua Mountain over the weekend.
Khamphan Butraj, chief of Loei Weather Office, said the mercury in Phurua district dropped to 7 Celsius degree Monday morning while the temperature at the Phurua National Park dropped to 6.8 C, Phuluang Wildlife Sanctuary at 5 C, Phu Kradueng National Park at 5.2 and Phu Suansai National Park at 9.5 C.
ถึงแม้จะลงเพียงเว็บไซท์ก็เถอะ ควรมี QC ไม่น้อยกว่าหนังสือพิมพ์ เพราะคนอ่านเยอะกว่า
"น้ำค้างที่เย็นจนเป็นน้ำแข็ง" ภาษาเหนือเรียกว่า "แม่คะนิ้ง" ส่วนภาษาอังกฤษเรียกว่า frost ครับ ไม่ใช่ frozen dewdrops
Frozen dewdrops happen in Loei
The Nation, Breaking News, 17 Jan 2011
Loei - Frozen dewdrops were spotted in several villages in Loei's Phurua district Monday morning, the district chief said.
Thanapol Channimi, the Phurua district chief, said the cold weather attracted a lot of tourists to the popular Phurua Mountain over the weekend.
Khamphan Butraj, chief of Loei Weather Office, said the mercury in Phurua district dropped to 7 Celsius degree Monday morning while the temperature at the Phurua National Park dropped to 6.8 C, Phuluang Wildlife Sanctuary at 5 C, Phu Kradueng National Park at 5.2 and Phu Suansai National Park at 9.5 C.
Thursday, January 06, 2011
ของเล่นไทยเดิมควรอนุรักษ์หรือไม่
ความรู้สึกถวิลหาสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ยุคสมัยที่ผ่านไปแล้ว เรียกว่า nostalgia (หนัสแต๊ลจ่ะ) ไม่ใช่อาการที่เกิดกับคนไทยเท่านั้น ฝรั่งเองก็โหยหากาลเวลาที่ผ่านไปเหมือนกัน
บางทีเราอยากให้มันกลับคืนมา แต่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เราก็คิดว่าอย่างน้อยควรอนุรักษ์มันไว้ไม่ให้มันสูญหายไป แต่ในที่สุดมันก็จางหายไปตามกระแสรสนิยมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของแต่ละยุคสมัย ตามหลักอนิจจัง
ของเล่นดั้งเดิมของไทยเป็นสิ่งที่ควรอนุรักษ์ไว้หรือไม่ ก็ควร แต่ตราบใดที่เด็กยุคนี้เห็นว่ามีของเล่นที่ดีกว่า สนุกกว่า สถานที่ที่ควรอนุรักษ์ของเล่นเหล่านั้นก็ควรเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับการเก็บบันทึกกาลเวลาสำหรับคนรุ่นหลัง (ฝรั่งถึงนิยมสร้างพิพิธภัณฑ์กันเหลือเกิน) แต่อย่ามาทุ่มเทกำลังและเวลาเพื่อฝืนกระแสโลกเลยครับ ไร้ประโยชน์เปล่าๆ
แล้วใครจะไปรู้ สักวันหนึ่งอาจจะมีคนเห็นศักยภาพตลาดของเครื่องเล่นโบราณเหล่านี้แล้วนำมาดัดแปลงและผลิตกลายเป็นของเล่นสุดฮิตสำหรับเด็กรุ่นใหม่ก็ได้
Call to save traditional toys
By The Nation
Published on January 6, 2011
More than 300 traditional toys have disappeared from Thai society, a conservationist group said recently.
Rung Aroon Thai Toys Group coordinator Taweesap Namkajornroj said yesterday that traditional toys were becoming extinct because the urban lifestyle was taking over.
"Children are now addicted to the Internet and cellphones," he said, adding that wooden tops and bamboo frisbees used be very popular not so long ago, but they do not attract youngsters these days.
"You will only see these toys at demonstrations or special events," Taweesap lamented.
He said traditional toys were designed to help boost the development of children. "Toys that make a sound are good for children's hearing," he pointed out. Similarly, kites are good because they encourage kids to run.
Taweesap said these toys are part of Thailand's cultural heritage and people should help conserve them. Traditional games and toys will be on display at Nakhon Pathom's wax museum on Saturday, the National Children's Day.
บางทีเราอยากให้มันกลับคืนมา แต่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เราก็คิดว่าอย่างน้อยควรอนุรักษ์มันไว้ไม่ให้มันสูญหายไป แต่ในที่สุดมันก็จางหายไปตามกระแสรสนิยมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของแต่ละยุคสมัย ตามหลักอนิจจัง
ของเล่นดั้งเดิมของไทยเป็นสิ่งที่ควรอนุรักษ์ไว้หรือไม่ ก็ควร แต่ตราบใดที่เด็กยุคนี้เห็นว่ามีของเล่นที่ดีกว่า สนุกกว่า สถานที่ที่ควรอนุรักษ์ของเล่นเหล่านั้นก็ควรเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับการเก็บบันทึกกาลเวลาสำหรับคนรุ่นหลัง (ฝรั่งถึงนิยมสร้างพิพิธภัณฑ์กันเหลือเกิน) แต่อย่ามาทุ่มเทกำลังและเวลาเพื่อฝืนกระแสโลกเลยครับ ไร้ประโยชน์เปล่าๆ
แล้วใครจะไปรู้ สักวันหนึ่งอาจจะมีคนเห็นศักยภาพตลาดของเครื่องเล่นโบราณเหล่านี้แล้วนำมาดัดแปลงและผลิตกลายเป็นของเล่นสุดฮิตสำหรับเด็กรุ่นใหม่ก็ได้
Call to save traditional toys
By The Nation
Published on January 6, 2011
More than 300 traditional toys have disappeared from Thai society, a conservationist group said recently.
Rung Aroon Thai Toys Group coordinator Taweesap Namkajornroj said yesterday that traditional toys were becoming extinct because the urban lifestyle was taking over.
"Children are now addicted to the Internet and cellphones," he said, adding that wooden tops and bamboo frisbees used be very popular not so long ago, but they do not attract youngsters these days.
"You will only see these toys at demonstrations or special events," Taweesap lamented.
He said traditional toys were designed to help boost the development of children. "Toys that make a sound are good for children's hearing," he pointed out. Similarly, kites are good because they encourage kids to run.
Taweesap said these toys are part of Thailand's cultural heritage and people should help conserve them. Traditional games and toys will be on display at Nakhon Pathom's wax museum on Saturday, the National Children's Day.
Tuesday, August 31, 2010
The Jungle
ลิงค์ประกอบคอลัมน์ฟอไฟฯ ตอน The Jungle
Food, Inc. สารคดีที่สร้างจากหนังสือ Fast Food Nation
Cruelty of Factory Farming ความโหดของโรงงานเลี้ยงสัตว์
McDonalds makes fat people (ความจริงไม่ใช่เฉพาะ McDonalds ที่ทำให้คนอ้วน แต่บังเอิญ McD เป็นรายใหญ่ที่สุด)
แล้วจะพยายามหาลิงค์มาเพิ่มอีกครับ
Food, Inc. สารคดีที่สร้างจากหนังสือ Fast Food Nation
Cruelty of Factory Farming ความโหดของโรงงานเลี้ยงสัตว์
McDonalds makes fat people (ความจริงไม่ใช่เฉพาะ McDonalds ที่ทำให้คนอ้วน แต่บังเอิญ McD เป็นรายใหญ่ที่สุด)
แล้วจะพยายามหาลิงค์มาเพิ่มอีกครับ
Thursday, May 27, 2010
คนที่ไม่รักในหลวงคือคนที่ไม่รู้จักในหลวง
ผมไม่ได้เขียนบทความข้างล่างนี้ แต่ชื่นชมที่ผู้เขียนได้ถ่ายทอดความรู้สึกที่ตรงกับผม (ครับ คนเราก็ยังงี้แหละ ใครเห็นด้วยกับเราก็ว่าเขาดีไปหมด)
ถ้าคุณติดตามผลงานของผมนอกเหนือจากคอลัมน์ในเดลินิวส์ ก็อาจทราบว่าผมเคยแปลหนังสือเกี่ยวกับโครงการพระราชดำริเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งการได้ทำงานชิ้นนั้นทำให้ผมตระหนักว่าประเทศไทยโชคดีเหลือเกินที่มีพระมหากษัตริย์เช่นพระองค์ท่าน
และผมก็เป็นห่วงพระองค์ท่านมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลายๆ ปีที่่ผ่านมา ตั้งแต่มีคนพยายามดึงเอาท่านไปแอบอ้างในการเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ ทำให้ต่างชาติ และแม้แต่คนไทย ที่รู้ไม่ลึกพากันหลงเชื่อไปด้วยว่าพระองค์ท่านมีส่วนเกี่ยวข้องจริงๆ
กลุ่มคนที่กระทำความผิดโดยคิดว่าไม่เป็นไรเพราะทำไปด้วยความจงรักภักดีต่อราชบัลลังก์คงไม่ทราบว่าตนได้สร้างความเสียหายแก่พระองค์ท่านและแก่สถาบันมากแค่ไหน
ความจริงแล้ววิธีการแสดงความรักต่อพระองค์ท่านที่ดีที่สุดคือการปฏิบัติตนตามคำสอนของพระองค์ท่าน
ในหลวงทรงสอนเราเสมอให้ใช้เหตุผล ใช้สติปัญญา ทรงสอนเราให้สามัคคีกัน ทำหน้าที่ตนให้ดี
แต่คนที่ปากบอกว่ารักท่านนั้นหลายคนเหลือเกินไม่เคยแม้แต่พยายามทำตามที่ท่านทรงพร่ำสอน
บทความของคุณวุฒินันท์ ชัยศรี ที่ผมถือวิสาสะนำมาลงในบล็อกตัวเองนี้ เป็นตัวอย่างของความรักในหลวงที่ผมเห็นว่าคนไทยพึงมี นั่นคือไม่ใช่ความรักแบบหลับหูหลับตาบ้าคลั่ง แต่ความรักที่มาจากจิตใจและจิตสำนึกที่มีวุฒิภาวะ ซึ่งผมคิดว่าในหลวงคงทรงมีพระราชประสงค์ให้พสกนิกรของพระองค์ท่านเป็นเช่นนั้น
อารัมภบทมาพอสมควรแล้ว เชิญอ่านบทความได้ครับ
เด็กรุ่นใหม่ไม่รักในหลวง?
ถ้าอยากรู้ว่าทำไมเด็กรุ่นใหม่ ไม่รักในหลวง โปรดอ่านให้จบ
แล้วจะทำให้คุณเข้าใจ และรักในหลวงมากยิ่งขึ้น...
๑. ขอแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง กรณีคณะอักษรศาสตร์การปฏิเสธการ เข้าศึกษาต่อของ "นางสาวณัฐกานต์ สกุลดาราชาติ"
ตอนแรกว่าจะเขียนแถลงการณ์ประ ณามสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ลองคิดอีกทีคงต้องพูดด้วยศัพท์วิชาการเยอะ ๆ ยืด ๆ คงไม่เข้าท่าเท่าไหร่ เอาเป็นว่าขอแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งในกรณีที่เกิดขึ้น
สืบเนื่องจากที่นางสาวณัฐกานต์ สกุลดาราชาติ หรือใช้ชื่อในอินเตอร์เน็ตว่า "ก้านธูป" ได้เขียนข้อความจาบจ้วงและแสดงพฤติกรรมหมิ่นสถาบันสูงสุดของชาติในเว็บ Facebook อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง จนเป็นที่โจษจันกันในอินเตอร์เน็ต เมื่อเธอสอบติดคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร จึงมีผู้หวังดีแจ้งเรื่องนี้ไป ให้ทางมหาวิทยาลัย ตลอดจนรวบรวมหลักฐานส่งไปประกอบการพิจารณา ปรากฏว่าเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ทางคณะอักษรได้มีการประกาศออกมาว่า "ขณะนี้คณะกรรมการหลักสูตรเอเชียศึกษามีมติไม่รับ นางสาวณัฐกานต์ สกุลดาราชาติ เข้าศึกษาต่อ"
ผมคิดว่านี่คือความโหดร้ายอย่าง หนึ่ง ที่สถาบันการศึกษาของรัฐปฏิเส ธโอกาสทางการศึกษาของคน ๆ หนึ่ง เพียงเพราะเขามีความคิดต่างทางการเมือง นี่คือการใช้ "บทลงโทษทางสังคม" (Social Sanction) อันเป็นอำนาจนอกระบบมาใช้ทำลายอำนาจในระบบ ซึ่งแน่นอนว่าในระยะยาวจะส่งผล กระทบต่อเสถียรภาพของอำนาจใน ระบบ และเสถียรภาพของสิ่งที่ถูกใช้เป็น ข้ออ้างของบทลงโทษทางสังคม นี้ นั่นก็คือภาวะการดำรงอยู่ของสถาบัน พระมหากษัตริย์
พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ ต่อไปจะเกิดการทำลายสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลที่คิดต่าง ด้วยข้อหา "ไม่รักในหลวง" และต่อไปสิทธิขั้นพื้นฐานเองจะ ไม่สามารถดำรงตัวเองอยู่ได้ จนถึงกับล่มสลายเพราะเกิดความ ไม่เสมอภาคขึ้น และภาวะการดำรงอยู่ของสถาบันจะถูกนำมาเป็น "แพะรับบาป" ในการล่มสลายของระบบสิทธิขั้นพื้น ฐาน ผลก็คือ รอยร้าวระหว่างคนที่ "รักในหลวง" กับ "ไม่รักในหลวง" จะแยกออกห่างจากกันยิ่งขึ้น และสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้การเคลื่อน ไหวเพื่อ "โค่นล้มสถาบัน" มีแนวร่วมมากขึ้น รุนแรงยิ่งขึ้น และที่สำคัญ มีความชอบธรรมมากยิ่งขึ้น
มีคำถามตามมาว่า ถ้าเช่นนั้นเราควรรับน้องคนนี้เข้าไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของรัฐเพื่อให้เป็นภัยต่อความมั่นคงของสถาบันในวันข้างหน้าหรือ
ขออนุญาตตอบว่า สิทธิขั้นพื้นฐานเป็นคนละเรื่องกับเรื่องความมั่นคง ในกรณีนี้ สิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กไม่ควร ถูกปฏิเสธจากรัฐที่เธออาศัย อยู่ เช่นว่า ถ้าเธอป่วย ในฐานะของพลเมืองรัฐ เธอมีสิทธิเท่าเทียมกับคนอื่นที่จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐ โดยจะไม่ถูก Social Sanction จากโรงพยาบาลของรัฐ เช่นเดียวกับการได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานทางการศึกษา ในส่วนของพฤติกรรมที่บ่อนทำลาย ความมั่นคงของรัฐก็ควรใช้อำนา จในระบบที่มีอยู่มาจัดการ นั่นคือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุ ภาพ ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นเพื่อ รักษาความมั่นคงของสถาบันสูง สุด
ส่วน Social Sanction นั้นต้องแยกออกจากการใช้ในระบบ โดยสามารถใช้ได้นอกระบบเท่านั้น จะเป็นการถูกแบนในคณะ หรือเพื่อนไม่คบ หรือประณามไปทั่วคณะให้รู้จักกันทั่วไป จนแม่ค้าไม่ขายข้าวให้ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่ควรนำมายุ่งเกี่ยวกับอำนาจในระบบ
ต้องอธิบายต่อว่าเรื่องนี้เป็น คนละกรณีกับที่พนักงานเอกชน ของบริษัท DHL ถูกไล่ออกเพราะ "ไม่รักในหลวง" เพราะนั่นเป็นกรณีพิพาทระหว่างบุคคลต่อบุคคล คือนิติบุคคล (บริษัท) กับบุคคล คือพนักงานคนนั้น ที่มีความคิดเห็นแตกต่างทางการเมือง และนิติบุคคลไม่ประสงค์จ้างเธอต่อไป อาจจะด้วยกลัวเสียภาพพจน์บริษัท หรือไม่พอใจอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ก็คือการใช้อำนาจในระบบของบุคคลต่อบุคคล
แต่ในกรณีนี้เป็นข้อพิพาทระหว่าง รัฐกับบุคคล คือรัฐต้องให้สิทธิการศึกษาแก่พลเมือง และมหาวิทยาลัยศิลปากรก็เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ สิทธิขั้นพื้นฐานนี้จึงจะถูกปฏิเสธ เพราะความคิดต่างทางการ เมืองไม่ได้ เพราะจะส่งผลต่อสภาวะของระบบทั้งหมดดังที่กล่าวไว้ข้างต้น
๒. ว่าด้วย "เด็กรุ่นใหม่ไม่รักในหลวง"
จบเรื่องของการประณามการปฏิเส ธการเข้าศึกษาต่อไว้ข้างบน มาพูดถึงข้อสังเกตของผมอย่างหนึ่ง ในปัจจุบันคือ "เด็กรุ่นใหม่ไม่รักในหลวง" ซึ่งดูเหมือนกำลังระบาดมากขึ้นเรื่อย ๆ
โดยส่วนตัว ผมไม่รังเกียจคนที่จะบอกว่า "ไม่รักในหลวง" หากคน ๆ นั้นมีเหตุผล มีข้อเท็จจริงที่ชี้แจงได้มากพอ
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ผมไม่อาย (แต่กลัวกฎหมายหมิ่นฯ 55) ที่จะสารภาพว่า ศีรษะผมก็เคยเอียงด๊อกแด๊กไปทาง ซ้าย ๆ มาก่อน
บ้าถึงขนาดไปสมัครเรียนรัฐศาสตร์ ที่รามฯ แล้วเลือกลงหลายวิชาที่ "ซ้าย" ไม่เชื่อก็ลองมาดูที่ทรานสคริปต์ ได้ (ช่วงปีแรก ๆ อะนะ ปีหลังลงแบบว่าพอให้จบ เบื่อแระ) ตลอดจนอ่านหนังสือซ้าย ๆ ทางรัฐศาสตร์ ฟ้าเดียวกงเดียวกัน ฉบับต้องห้ามและไม่ต้องห้าม เว็บประชาไท ไปจนหนังสือต้องห้ามอย่าง "กงจักรปีศาจ" "The King never smile" ฯลฯ
แต่ผมก็คิดว่า จะดีหรือหากเราจะเกลียดใครคนหนึ่ง โดยที่ไม่เคยรู้จักเขาจริง ๆ ผมก็เลยไปศึกษา "ตัวตน" ของพระองค์ผ่านพระราชกรณียกิจ พระราชดำรัสต่าง ๆ มาชั่ง ตวง วัด กับสิ่งที่ผมเคยรู้มา
จนวันนี้ผมอายุ ๒๓ ปี (ต้องระบุเลขอายุเพราะว่า วันข้างหน้าเมื่อผมอายุ ๓๐ ๔๐ ๕๐ ความคิดอาจจะเปลี่ยนแปลงไปก็เป็น ได้) การศึกษาทั้งหมดจนถึง ณ ขณะนี้ประมวลมาได้ว่า ผมภูมิใจที่เกิดมาในรัชสมัยของ พระองค์ ผู้ที่นับได้ว่าเป็น "มหาบุรุษ" คนหนึ่งของโลก
ขนาดนั้นเลยเหรอ??
เอ้า ผมลองยกตัวอย่างง่าย ๆ สักเรื่องก็ได้ มีบทความสัมภาษณ์ที่ไปถามชาวบ้านสหกรณ์โคนมหนองโพ จังหวัดราชบุรี อันเป็นโครงการในพระบรมราชูปถัมภ์ มีคำตอบหนึ่งที่แสดงถึงพระปรี ชาญาณของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง ตอนชาวบ้านกราบทูลว่า อยากจะสั่งซื้อเครื่องจักรเพิ่มเพื่อมาทำงานแทนคน จะได้ผลิตนมได้เร็วขึ้น ได้กำไรมากขึ้น พระองค์ทรงตอบว่า อย่าเลย เธอเอาเครื่องจักรมาทำงานแทนคน ได้ผลผลิตเร็วขึ้น ได้กำไรมากขึ้นก็จริง แต่คนจะไม่มีงานทำ
นี่มันความคิดของมหาบุรุษชัด ๆ
หลายคนอาจจะยังงงอยู่ว่าเป็นม หาบุรุษอย่างไร ต้องมองลึก ๆ แล้วจะเห็นพระปรีชาญาณของพระองค์ครับ คำว่า "คนจะไม่มีงานทำ" ของพระองค์ไม่ใช่แค่ คนตกงาน แต่หมายถึง คนจะไม่มีส่วนร่วมในสหกรณ์แห่งนี้ครับ
อย่าลืมว่า สหกรณ์ คือ สห+กรณ หมายถึงการประกอบกิจร่วมกัน ดังนั้นการเอาเครื่องจักรมาจึงเป็นการทำลายหลักการพื้นฐานของสหกรณ์ เพราะกิจที่ "คน" จะทำร่วมกันถูกเครื่องจักรแย่ง ไปทำเสียแล้ว ถามต่อว่า งั้นก็เอาคนมาคุมเครื่องจักรสิ จะต้องคุมสักกี่คนกัน สุดท้ายก็จะมีคนคุมอยู่ไม่กี่คน มีคนจัดการอยู่ไม่กี่คน จากนั้นการขยายตัวของสหกรณ์จะไปไปในทางสั่งซื้อเครื่องจักรการผลิตเพิ่ม ไม่ใช่ขยายออกไปโดยการเพิ่มคน เข้ามา สุดท้ายสหกรณ์นี้ก็จะล่มสลายล ง กลายสภาพไปเป็นบริษัทโคนมหนองโพ
หลายคนอาจจะบอก ก็ดีแล้วนี่ เป็นบริษัทกำไรเยอะดี ค่อยจ้างคนมาเยอะ ๆ แล้วคนก็จะมีงานทำเยอะ ๆ กันเอง ต้องมองว่าการล่มสลายของสหกรณ์ไม่ใช่แค่เรื่องทางกายภาพเท่านั้นนะครับ แต่ถือเป็นการล่มสลายทางสังคม ด้วย เพราะสหกรณ์เกิดขึ้นมาจากการร่วม กันของคนหลาย ๆ คน มี "ข้อผูกพันทางใจ" เป็นสัญญาช่วยเหลือกัน ไม่ใช่ "สัญญาจ้าง" แบบบริษัท การมีข้อผูกพันทางใจทำให้คนเต็มใจเข้ามาช่วยเหลือกันด้วยความโอบอ้อมอารี อันเป็นวิถีดั้งเดิมของสังคมไทย แต่ถ้าเมื่อใดสหกรณ์ล่มสลายลง กลายเป็นบริษัท เมื่อนั้นระบบสัญญาจ้างที่ให้ความสำคัญกับ "กฎระเบียบ" และ "เงินตรา" ก็จะเข้ามาแทนที่ ซึ่งสองอย่างนี้จะทำลายความโอบอ้อมอารี ความไว้เนื้อเชื่อใจลง และเมื่อมี "เงิน" เข้ามามาก ๆ จากการได้กำไรมาก คนจะเห็นแก่เงินและประโยชน์ส่วน ตัวมากขึ้น นอกจากนั้นยังเกิดระบบสายบังคับบัญชาแบบ "เจ้านาย-ลูกน้อง" ไม่ใช่ "พี่-น้อง" เหมือนเดิม และทำลายระบบความสัมพันธ์ของสังคมเดิมลงจนหมด เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วใน สังคมเมือง สุดท้ายก็จะมีคนไม่กี่ตระกูลที่รวย คือบรรดาเจ้าของบริษัท ส่วนคนอื่นก็จะถูกลดชั้นมาเป็นพ นักงาน และถูกกดขี่ เกิดความแตกแยกทางชนชั้นมากขึ้น
การดำรงอยู่ของสหกรณ์จึงเป็นสิ่ง สำคัญ เพราะเป็นการดำรงอยู่ของระบบความ สัมพันธ์ของสังคมเดิม (ที่ควรจะดำรงอยู่ต่อไป) การขยายการผลิตของสหกรณ์จึงไม่น่าจะใช้วิธีการเพิ่มเครื่องจักร เพราะจะเป็นตัวเร่งให้สหกรณ์ล่มสลายเร็วขึ้น แต่ควรเป็นไปด้วยการขยายจำนวน คน แม้ว่าที่สุดแล้วอาจจะได้รายได้ น้อยกว่าใช้เครื่องจักร แต่ลักษณะทางกายภาพและลักษณะทาง สังคมของสหกรณ์จะยังดำรงอ ยู่ คือเป็น "พี่-น้อง" ที่มาช่วยกันด้วย "น้ำใจ" และเมื่อสหกรณ์ยิ่งเติบโตขึ้น ขยายวงกว้างกันมากขึ้น คนที่มาร่วมกันก็จะยิ่งรักกันมากขึ้นทั้งจำนวนและความผูกพัน ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่ากำไรที่เป็นเงินเสียอีก
นี่แหละคือพระปรีชาญาณของพระองค์ ที่ทรงมีสายพระเนตรที่กว้าง ขวาง เอ้อ ใช้ราชาศัพท์มาก คนอ่านอาจจะเหนื่อย เอาเป็นว่าพระองค์"ฉลาด"และ"มองการณ์ไกล"เอามากๆ แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเข้าใจ สภาพพื้นฐานของสังคมไทยเป็น อย่างดี ตลอดจนเห็นตัวอย่างของสังคมเมือง ที่ถูก "ระบบบริษัท" และ "ทุนนิยม" มาทำลายลักษณะความโอบอ้อมอารี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของคนไทยไปสิ้น จึงทำให้เห็นต่อเนื่องไปอีกว่า พระองค์ไม่ได้เสด็จต่างจังหวัดแบบโก้ ๆ เก๋ ๆ หรือที่นักวิชาการซ้ายหลายคนพ ยายามชี้ว่าพระองค์ "สร้างภาพ" แต่พระองค์ทรงเสด็จแบบจริง ๆ จัง ๆ และได้เรียนรู้ เก็บข้อมูลลักษณะสังคม ยิ่งกว่า NGO หลายคน จึงจะเห็นว่า "ระบบสหกรณ์" และ "เศรษฐกิจพอเพียง" ไม่ได้เกิดขึ้นมาเป็นนโยบายโก้ ๆ แต่คือความพยายามในการรักษา "ลักษณะของสังคมไทยที่ดี" เอาไว้ให้ได้มากที่สุดของพระองค์
นี่แหละครับคำตอบว่า "อย่าเลย เธอเอาเครื่องจักรมาทำงานแทนคน ได้ผลผลิตเร็วขึ้น ได้กำไรมากขึ้นก็จริง แต่คนจะไม่มีงานทำ" จึงเป็นคำตอบของมหาบุรุษ
นี่แค่ตัวอย่างเดียว ต้องใช้พื้นที่อธิบายขนาดนี้ อันที่จริงผมมีอีกหลายตัวอย่างจากการศึกษามา ว่าจะเขียนรวมเล่มเป็นหนังสือแต่ ว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลา (ข้ออ้าง) เอาเป็นว่าอย่าลืมเตือนผมตอนผมว่าง ๆ ก็แล้วกันนะ
นั่นจึงเป็นคำตอบว่า ทำไมคนหัวเอียงอย่างผมถึงกลับมาทำหัวตรง ถวายความรักความนับถือให้พระองค์จนหลายคนเข้าใจผิดว่าผมเป็น Royalist หัวรุนแรง ไม่หรอกครับ ผมไม่ได้ถวายความรักความนับถือ ให้พระองค์แบบไม่ลืมหูลืมตา แต่มีเหตุผลมากพอที่จะบอกว่า ทำไมผมถึงมีจุดยืนเช่นนี้
เช่นเดียวกัน หากใครมีเหตุผลมากพอที่จะมีจุดยืนที่แตกต่าง ผมก็ไม่เคยรังเกียจ เช่นเดียวกับน้องคนนั้น
สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นปัจจัย ที่ทำให้คนรุ่นใหม่ "ไม่รักในหลวง" นั่นเป็นเพราะกระแส "ลัทธิซาบซึ้ง" ที่ถูกปลุกขึ้นมาในช่วงปี ๔๖-ปัจจุบัน ที่สอนให้เรารักในหลวงแบบ "ลัทธิ" ไม่ใช่ "ความเข้าใจ" เช่น บอกลูกบอกหลานว่า "รักในหลวงนะลูก" - "ทำไมล่ะแม่" - "เพราะพระองค์ทำเพื่อแผ่นดิน" - "ยังไงล่ะแม่" - "ทรงเสด็จไปพัฒนาท้องที่ทุรกันดาร" - "ไปไหนบ้างล่ะแม่" - "ทั่วประเทศจ๊ะ" - "จริงเหรอแม่" - ...(คิดในใจ นั่นสินะ)
ดูเหมือนว่าภาพของกษัตริย์ที่เด็ก รุ่นใหม่เห็นในปัจจุบัน จะเป็นเรื่องอภินิหารปรัมปรา (Myth) เรื่องราวพระราชกรณียกิจของพระองค์ ก็เป็นเหมือนเรื่องเล่า นานแสนนานจนจับต้องไม่ได้ ทั้งที่ทุกสิ่งที่พระองค์ทำนั้น เป็นเรื่องที่มีบันทึกไว้ท ั้งหมด แต่ดูเหมือนว่าเราสามารถเข้าถึง ข้อมูลนี้ได้น้อยเกินไป หรือเราศึกษาเรื่องราวของพระองค์ ท่านน้อยเกินไป ส่วนหนึ่งผมขอกล่าวโทษสำนักราชเลขาธิการ หรือส่วนอื่นส่วนใดก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องที่ไม่สามารถทำให้ประชาชนเข้าถึง "ความดีงาม" และ "พระปรีชาญาณ" ของพระองค์ได้มากพอ แต่กลับปลุกเร้าในทำนอง "ลัทธิ" ทั้งที่ความดีงามของพระองค์นั้น มีมากมายจนทำให้คน "รักอย่างเข้าใจ" ได้ไม่ยากเลย (ตรงกันข้ามกับอดีตนายกฯ แม้ว ที่ต้องปลุกเร้าให้คนรักแบบ "ลัทธิ" เพราะไม่สามารถให้คนรักแบบ "เข้าใจ" ได้ เพราะเมื่อใดที่คนที่รักแม้วเข้า ใจว่าอะไรเป็นอะไร คนนั้นจะหมดรักแม้วทันที) ถ้าสามารถทำให้ทุกคน "รักอย่างเข้าใจ" ได้ "ลัทธิซาบซึ้ง" ก็ไม่จำเป็นเลยสำหรับการ "รักในหลวง"
การทำให้การ "รักในหลวง" เป็น "ลัทธิซาบซึ้ง" จึงสุ่มเสี่ยงต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์และตรวจสอบจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย นอกจากนั้นยังมีการพยายามเสนอ ความคิดในลักษณะ "เปิดโปง" ความไม่ดีไม่งามบางประการอย่างผิด ๆ เช่นที่บทความหนึ่งได้กล่าวว่า พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เพราะบทความนั้นรวมสำนักงานทรัพย์สิน ส่วนพระมหากษัตริย์เข้า ไปในบัญชีรายชื่อทรัพย์สินของพระองค์ ด้วย ทั้งที่สำนักงานนี้โดยเนื้อแท้ แล้วเป็นสำนักงานที่อยู่ใน ความควบคุมของรัฐ พระองค์ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ตามชอบใจ และเงินคงคลังแผ่นดินส่วนมากก็จะอยู่ในนี้ ดังนั้นพระองค์จึงเป็นเจ้าของทรัพย์ สินนี้แต่ในนาม การจะ "ตีขลุม" เอาว่าพระองค์ "รวย" ก็ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมต่อพระองค์ นัก อย่างไรก็ดี ก็มีหลายคนที่พร้อมจะเชื่อบทความดังกล่าวโดยไม่ลังเลและไม่ไตร่ตรอง เพราะสำคัญว่าเรานี่ช่างวิเศษเหลือเกินที่ "ได้รู้ได้เห็น" ความลับที่ใครอื่นไม่รู้ นี่แค่ตัวอย่างเดียวนะครับ ยังมีตัวอย่างอีกมากที่ได้รับการ เผยแพร่จากนักวิชาการไร้ค วามรับผิดชอบ แต่ไม่มีใครออกมาชี้แจง การไม่ออกมาชี้แจงของฝ่ายที่เกี่ยวข้องจึงทำให้สถาบันถูกมองว่าเป็น "สิ่งที่ตรวจสอบไม่ได้" และ "มีความลับที่ไม่ดีมากมายในนั้น" ทั้งที่ความจริงแล้ว "การตรวจสอบ" และ "การชี้แจง" เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้สถานะ ของสถาบันกษัตริย์มีความมั่น คงมากกว่า "ความเชื่อ" และ "ความรักแบบไม่เข้าใจ"
อีกประการหนึ่ง ใครที่เคยเป็นวัยรุ่น ก็น่าจะเข้าใจครับ วัยนั้นมัน "วัยแห่งการต่อต้าน" หรือ "วัยขบถ" เป็นปมอย่างหนึ่งที่ถ้าเรียนจิตวิทยามาจะเข้าใจ คือไม่อยากทำตัวเหมือนคนส่วนใหญ่ ไม่อยากตามกระแส ไม่อยากทำตามคำสั่งใคร เพราะจะ "ไม่มีตัวตน" และจะ "ไม่ได้รับการยอมรับ" ทีนี้ก็เอามาปนกับเรื่องนี้ ถ้าคนส่วนใหญ่รักในหลวง แม่สั่งให้รักในหลวง หนูก็จะไม่รักดื้อ ๆ นี่แหละ มีอะไรมั้ย จะคิดต่างใครจะทำไม เพื่อให้ได้มี "ที่ยืนอันแสนโดดเด่น" ในสังคม โดยเฉพาะเมื่อเกิดการ "รักในหลวง" ที่ถูกทำให้เป็น "กระแส" (อาทิ วิสต์แบนด์ เสื้อเหลือง-ชมพู ฯลฯ) มากกว่ารักเพราะศรัทธาอย่างแท้จริง (ที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรทำ ให้เกิดขึ้นอย่างยิ่ง) กระแสมันมาแบบนี้ ก็จะมีวัยรุ่นหลาย ๆ คนที่ไม่อยาก "ตามกระแส" ก็เลย "ไม่รักในหลวง" ไปซะแบบนั้น ก็เป็นเรื่องของเด็กที่เข้าใจได้ครับ อันนี้ไม่ได้ดูถูกความรู้สึกนึกคิดของวัยรุ่นว่าคิดเองไม่เป็นนะครับ แต่มันมีส่วนหนึ่งที่อธิบายได้ แบบนี้
จึงต้องกลับมาทบทวนครับว่า หลายสิ่งที่เราทำเพื่อให้สถาบันสูงสุดดำรงอยู่นี้ เราทำได้ถูกต้องเหมาะสมเพียงใด และควรปรับปรุงอะไรบ้าง กรณีน้องณัฐกานต์ถูกปฏิเสธสิทธิพื้นฐานทางการศึกษาเพราะ "ไม่รักในหลวง" นั้นเหมาะสมมากน้อยหรือไม่เพี ยงใด จากนี้ไป สถาบันกษัตริย์จะต้องเผชิญกับอันตรายหลายด้าน และสุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงที่ จะดำรงอยู่ กฎหมายหมิ่นฯ ก็เป็นเพียงระบบหนึ่งที่จะประกันความมั่นคงได้ส่วนหนึ่ง แต่กฎหมายนั้นไม่สามารถเข้าไปบีบบังคับความคิด-ความเชื่อของคนในรัฐได้ สำหรับในคนรุ่นเก่านี้ ผมเองคิดว่าสถาบันกษัตริย์ยังมี ความมั่นคงมากพอจากหลายปัจจัย แต่ในคนรุ่นต่อไป การท้าทายพระราชอำนาจและความมั่นคงของสถาบันจะมีมากขึ้น ซึ่งก็เป็นโจทย์สำคัญสำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่า จะทำอย่างไรในอนาคตเพื่อให้ความ มั่นคงของสถาบันนี้ยังคงอยู่
ผมคงจะไม่ขอให้คนรุ่นใหม่คิดแบบ เดียวกับที่ผมคิด เพราะความคิดของคนเราสามารถมีความแตกต่างได้ ผมมีเพียงคำถามที่อยากฝากไว้สำ หรับคนรุ่นใหม่ในวันนี้ที่ "ไม่รักในหลวง" ขอให้ถามตัวเองว่า ๑.ทำไม ๒.เราจะรักหรือไม่รักใครคนหนึ่งโดยที่เราไม่รู้จักเขาจริง ๆ จะยุติธรรมต่อคน ๆ นั้นไหม ไม่ต้องตอบผมครับ ถามตัวเองแล้วตอบตัวเอง ถ้าสามารถตอบตนเองได้โดยได้คำตอบที่ตนเองพอใจ ผมก็จะไม่ไปก้าวก่ายความคิดของ ท่าน
มีเพียงสิ่งเดียวที่ผมอยากจะขอ ก็คือ ขอแค่อย่าคิดจะไม่รักเพราะคิดว่า เท่ เป็นแฟชั่น ขอให้แตกต่างจากคนอื่นเป็นดี โดยไม่ใช้ "สมอง" ไตร่ตรองเลยครับ
วุฒินันท์ ชัยศรี
ศิษย์เก่าคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร รุ่น ๓๘
ที่มา : http://www.facebook.com/note.php?note_id=398262729305&id=100000461614520&ref=mf
ถ้าคุณติดตามผลงานของผมนอกเหนือจากคอลัมน์ในเดลินิวส์ ก็อาจทราบว่าผมเคยแปลหนังสือเกี่ยวกับโครงการพระราชดำริเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งการได้ทำงานชิ้นนั้นทำให้ผมตระหนักว่าประเทศไทยโชคดีเหลือเกินที่มีพระมหากษัตริย์เช่นพระองค์ท่าน
และผมก็เป็นห่วงพระองค์ท่านมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลายๆ ปีที่่ผ่านมา ตั้งแต่มีคนพยายามดึงเอาท่านไปแอบอ้างในการเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ ทำให้ต่างชาติ และแม้แต่คนไทย ที่รู้ไม่ลึกพากันหลงเชื่อไปด้วยว่าพระองค์ท่านมีส่วนเกี่ยวข้องจริงๆ
กลุ่มคนที่กระทำความผิดโดยคิดว่าไม่เป็นไรเพราะทำไปด้วยความจงรักภักดีต่อราชบัลลังก์คงไม่ทราบว่าตนได้สร้างความเสียหายแก่พระองค์ท่านและแก่สถาบันมากแค่ไหน
ความจริงแล้ววิธีการแสดงความรักต่อพระองค์ท่านที่ดีที่สุดคือการปฏิบัติตนตามคำสอนของพระองค์ท่าน
ในหลวงทรงสอนเราเสมอให้ใช้เหตุผล ใช้สติปัญญา ทรงสอนเราให้สามัคคีกัน ทำหน้าที่ตนให้ดี
แต่คนที่ปากบอกว่ารักท่านนั้นหลายคนเหลือเกินไม่เคยแม้แต่พยายามทำตามที่ท่านทรงพร่ำสอน
บทความของคุณวุฒินันท์ ชัยศรี ที่ผมถือวิสาสะนำมาลงในบล็อกตัวเองนี้ เป็นตัวอย่างของความรักในหลวงที่ผมเห็นว่าคนไทยพึงมี นั่นคือไม่ใช่ความรักแบบหลับหูหลับตาบ้าคลั่ง แต่ความรักที่มาจากจิตใจและจิตสำนึกที่มีวุฒิภาวะ ซึ่งผมคิดว่าในหลวงคงทรงมีพระราชประสงค์ให้พสกนิกรของพระองค์ท่านเป็นเช่นนั้น
อารัมภบทมาพอสมควรแล้ว เชิญอ่านบทความได้ครับ
เด็กรุ่นใหม่ไม่รักในหลวง?
ถ้าอยากรู้ว่าทำไมเด็กรุ่นใหม่ ไม่รักในหลวง โปรดอ่านให้จบ
แล้วจะทำให้คุณเข้าใจ และรักในหลวงมากยิ่งขึ้น...
๑. ขอแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง กรณีคณะอักษรศาสตร์การปฏิเสธการ เข้าศึกษาต่อของ "นางสาวณัฐกานต์ สกุลดาราชาติ"
ตอนแรกว่าจะเขียนแถลงการณ์ประ ณามสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ลองคิดอีกทีคงต้องพูดด้วยศัพท์วิชาการเยอะ ๆ ยืด ๆ คงไม่เข้าท่าเท่าไหร่ เอาเป็นว่าขอแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งในกรณีที่เกิดขึ้น
สืบเนื่องจากที่นางสาวณัฐกานต์ สกุลดาราชาติ หรือใช้ชื่อในอินเตอร์เน็ตว่า "ก้านธูป" ได้เขียนข้อความจาบจ้วงและแสดงพฤติกรรมหมิ่นสถาบันสูงสุดของชาติในเว็บ Facebook อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง จนเป็นที่โจษจันกันในอินเตอร์เน็ต เมื่อเธอสอบติดคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร จึงมีผู้หวังดีแจ้งเรื่องนี้ไป ให้ทางมหาวิทยาลัย ตลอดจนรวบรวมหลักฐานส่งไปประกอบการพิจารณา ปรากฏว่าเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ทางคณะอักษรได้มีการประกาศออกมาว่า "ขณะนี้คณะกรรมการหลักสูตรเอเชียศึกษามีมติไม่รับ นางสาวณัฐกานต์ สกุลดาราชาติ เข้าศึกษาต่อ"
ผมคิดว่านี่คือความโหดร้ายอย่าง หนึ่ง ที่สถาบันการศึกษาของรัฐปฏิเส ธโอกาสทางการศึกษาของคน ๆ หนึ่ง เพียงเพราะเขามีความคิดต่างทางการเมือง นี่คือการใช้ "บทลงโทษทางสังคม" (Social Sanction) อันเป็นอำนาจนอกระบบมาใช้ทำลายอำนาจในระบบ ซึ่งแน่นอนว่าในระยะยาวจะส่งผล กระทบต่อเสถียรภาพของอำนาจใน ระบบ และเสถียรภาพของสิ่งที่ถูกใช้เป็น ข้ออ้างของบทลงโทษทางสังคม นี้ นั่นก็คือภาวะการดำรงอยู่ของสถาบัน พระมหากษัตริย์
พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ ต่อไปจะเกิดการทำลายสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลที่คิดต่าง ด้วยข้อหา "ไม่รักในหลวง" และต่อไปสิทธิขั้นพื้นฐานเองจะ ไม่สามารถดำรงตัวเองอยู่ได้ จนถึงกับล่มสลายเพราะเกิดความ ไม่เสมอภาคขึ้น และภาวะการดำรงอยู่ของสถาบันจะถูกนำมาเป็น "แพะรับบาป" ในการล่มสลายของระบบสิทธิขั้นพื้น ฐาน ผลก็คือ รอยร้าวระหว่างคนที่ "รักในหลวง" กับ "ไม่รักในหลวง" จะแยกออกห่างจากกันยิ่งขึ้น และสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้การเคลื่อน ไหวเพื่อ "โค่นล้มสถาบัน" มีแนวร่วมมากขึ้น รุนแรงยิ่งขึ้น และที่สำคัญ มีความชอบธรรมมากยิ่งขึ้น
มีคำถามตามมาว่า ถ้าเช่นนั้นเราควรรับน้องคนนี้เข้าไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของรัฐเพื่อให้เป็นภัยต่อความมั่นคงของสถาบันในวันข้างหน้าหรือ
ขออนุญาตตอบว่า สิทธิขั้นพื้นฐานเป็นคนละเรื่องกับเรื่องความมั่นคง ในกรณีนี้ สิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กไม่ควร ถูกปฏิเสธจากรัฐที่เธออาศัย อยู่ เช่นว่า ถ้าเธอป่วย ในฐานะของพลเมืองรัฐ เธอมีสิทธิเท่าเทียมกับคนอื่นที่จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐ โดยจะไม่ถูก Social Sanction จากโรงพยาบาลของรัฐ เช่นเดียวกับการได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานทางการศึกษา ในส่วนของพฤติกรรมที่บ่อนทำลาย ความมั่นคงของรัฐก็ควรใช้อำนา จในระบบที่มีอยู่มาจัดการ นั่นคือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุ ภาพ ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นเพื่อ รักษาความมั่นคงของสถาบันสูง สุด
ส่วน Social Sanction นั้นต้องแยกออกจากการใช้ในระบบ โดยสามารถใช้ได้นอกระบบเท่านั้น จะเป็นการถูกแบนในคณะ หรือเพื่อนไม่คบ หรือประณามไปทั่วคณะให้รู้จักกันทั่วไป จนแม่ค้าไม่ขายข้าวให้ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่ควรนำมายุ่งเกี่ยวกับอำนาจในระบบ
ต้องอธิบายต่อว่าเรื่องนี้เป็น คนละกรณีกับที่พนักงานเอกชน ของบริษัท DHL ถูกไล่ออกเพราะ "ไม่รักในหลวง" เพราะนั่นเป็นกรณีพิพาทระหว่างบุคคลต่อบุคคล คือนิติบุคคล (บริษัท) กับบุคคล คือพนักงานคนนั้น ที่มีความคิดเห็นแตกต่างทางการเมือง และนิติบุคคลไม่ประสงค์จ้างเธอต่อไป อาจจะด้วยกลัวเสียภาพพจน์บริษัท หรือไม่พอใจอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ก็คือการใช้อำนาจในระบบของบุคคลต่อบุคคล
แต่ในกรณีนี้เป็นข้อพิพาทระหว่าง รัฐกับบุคคล คือรัฐต้องให้สิทธิการศึกษาแก่พลเมือง และมหาวิทยาลัยศิลปากรก็เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ สิทธิขั้นพื้นฐานนี้จึงจะถูกปฏิเสธ เพราะความคิดต่างทางการ เมืองไม่ได้ เพราะจะส่งผลต่อสภาวะของระบบทั้งหมดดังที่กล่าวไว้ข้างต้น
๒. ว่าด้วย "เด็กรุ่นใหม่ไม่รักในหลวง"
จบเรื่องของการประณามการปฏิเส ธการเข้าศึกษาต่อไว้ข้างบน มาพูดถึงข้อสังเกตของผมอย่างหนึ่ง ในปัจจุบันคือ "เด็กรุ่นใหม่ไม่รักในหลวง" ซึ่งดูเหมือนกำลังระบาดมากขึ้นเรื่อย ๆ
โดยส่วนตัว ผมไม่รังเกียจคนที่จะบอกว่า "ไม่รักในหลวง" หากคน ๆ นั้นมีเหตุผล มีข้อเท็จจริงที่ชี้แจงได้มากพอ
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ผมไม่อาย (แต่กลัวกฎหมายหมิ่นฯ 55) ที่จะสารภาพว่า ศีรษะผมก็เคยเอียงด๊อกแด๊กไปทาง ซ้าย ๆ มาก่อน
บ้าถึงขนาดไปสมัครเรียนรัฐศาสตร์ ที่รามฯ แล้วเลือกลงหลายวิชาที่ "ซ้าย" ไม่เชื่อก็ลองมาดูที่ทรานสคริปต์ ได้ (ช่วงปีแรก ๆ อะนะ ปีหลังลงแบบว่าพอให้จบ เบื่อแระ) ตลอดจนอ่านหนังสือซ้าย ๆ ทางรัฐศาสตร์ ฟ้าเดียวกงเดียวกัน ฉบับต้องห้ามและไม่ต้องห้าม เว็บประชาไท ไปจนหนังสือต้องห้ามอย่าง "กงจักรปีศาจ" "The King never smile" ฯลฯ
แต่ผมก็คิดว่า จะดีหรือหากเราจะเกลียดใครคนหนึ่ง โดยที่ไม่เคยรู้จักเขาจริง ๆ ผมก็เลยไปศึกษา "ตัวตน" ของพระองค์ผ่านพระราชกรณียกิจ พระราชดำรัสต่าง ๆ มาชั่ง ตวง วัด กับสิ่งที่ผมเคยรู้มา
จนวันนี้ผมอายุ ๒๓ ปี (ต้องระบุเลขอายุเพราะว่า วันข้างหน้าเมื่อผมอายุ ๓๐ ๔๐ ๕๐ ความคิดอาจจะเปลี่ยนแปลงไปก็เป็น ได้) การศึกษาทั้งหมดจนถึง ณ ขณะนี้ประมวลมาได้ว่า ผมภูมิใจที่เกิดมาในรัชสมัยของ พระองค์ ผู้ที่นับได้ว่าเป็น "มหาบุรุษ" คนหนึ่งของโลก
ขนาดนั้นเลยเหรอ??
เอ้า ผมลองยกตัวอย่างง่าย ๆ สักเรื่องก็ได้ มีบทความสัมภาษณ์ที่ไปถามชาวบ้านสหกรณ์โคนมหนองโพ จังหวัดราชบุรี อันเป็นโครงการในพระบรมราชูปถัมภ์ มีคำตอบหนึ่งที่แสดงถึงพระปรี ชาญาณของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง ตอนชาวบ้านกราบทูลว่า อยากจะสั่งซื้อเครื่องจักรเพิ่มเพื่อมาทำงานแทนคน จะได้ผลิตนมได้เร็วขึ้น ได้กำไรมากขึ้น พระองค์ทรงตอบว่า อย่าเลย เธอเอาเครื่องจักรมาทำงานแทนคน ได้ผลผลิตเร็วขึ้น ได้กำไรมากขึ้นก็จริง แต่คนจะไม่มีงานทำ
นี่มันความคิดของมหาบุรุษชัด ๆ
หลายคนอาจจะยังงงอยู่ว่าเป็นม หาบุรุษอย่างไร ต้องมองลึก ๆ แล้วจะเห็นพระปรีชาญาณของพระองค์ครับ คำว่า "คนจะไม่มีงานทำ" ของพระองค์ไม่ใช่แค่ คนตกงาน แต่หมายถึง คนจะไม่มีส่วนร่วมในสหกรณ์แห่งนี้ครับ
อย่าลืมว่า สหกรณ์ คือ สห+กรณ หมายถึงการประกอบกิจร่วมกัน ดังนั้นการเอาเครื่องจักรมาจึงเป็นการทำลายหลักการพื้นฐานของสหกรณ์ เพราะกิจที่ "คน" จะทำร่วมกันถูกเครื่องจักรแย่ง ไปทำเสียแล้ว ถามต่อว่า งั้นก็เอาคนมาคุมเครื่องจักรสิ จะต้องคุมสักกี่คนกัน สุดท้ายก็จะมีคนคุมอยู่ไม่กี่คน มีคนจัดการอยู่ไม่กี่คน จากนั้นการขยายตัวของสหกรณ์จะไปไปในทางสั่งซื้อเครื่องจักรการผลิตเพิ่ม ไม่ใช่ขยายออกไปโดยการเพิ่มคน เข้ามา สุดท้ายสหกรณ์นี้ก็จะล่มสลายล ง กลายสภาพไปเป็นบริษัทโคนมหนองโพ
หลายคนอาจจะบอก ก็ดีแล้วนี่ เป็นบริษัทกำไรเยอะดี ค่อยจ้างคนมาเยอะ ๆ แล้วคนก็จะมีงานทำเยอะ ๆ กันเอง ต้องมองว่าการล่มสลายของสหกรณ์ไม่ใช่แค่เรื่องทางกายภาพเท่านั้นนะครับ แต่ถือเป็นการล่มสลายทางสังคม ด้วย เพราะสหกรณ์เกิดขึ้นมาจากการร่วม กันของคนหลาย ๆ คน มี "ข้อผูกพันทางใจ" เป็นสัญญาช่วยเหลือกัน ไม่ใช่ "สัญญาจ้าง" แบบบริษัท การมีข้อผูกพันทางใจทำให้คนเต็มใจเข้ามาช่วยเหลือกันด้วยความโอบอ้อมอารี อันเป็นวิถีดั้งเดิมของสังคมไทย แต่ถ้าเมื่อใดสหกรณ์ล่มสลายลง กลายเป็นบริษัท เมื่อนั้นระบบสัญญาจ้างที่ให้ความสำคัญกับ "กฎระเบียบ" และ "เงินตรา" ก็จะเข้ามาแทนที่ ซึ่งสองอย่างนี้จะทำลายความโอบอ้อมอารี ความไว้เนื้อเชื่อใจลง และเมื่อมี "เงิน" เข้ามามาก ๆ จากการได้กำไรมาก คนจะเห็นแก่เงินและประโยชน์ส่วน ตัวมากขึ้น นอกจากนั้นยังเกิดระบบสายบังคับบัญชาแบบ "เจ้านาย-ลูกน้อง" ไม่ใช่ "พี่-น้อง" เหมือนเดิม และทำลายระบบความสัมพันธ์ของสังคมเดิมลงจนหมด เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วใน สังคมเมือง สุดท้ายก็จะมีคนไม่กี่ตระกูลที่รวย คือบรรดาเจ้าของบริษัท ส่วนคนอื่นก็จะถูกลดชั้นมาเป็นพ นักงาน และถูกกดขี่ เกิดความแตกแยกทางชนชั้นมากขึ้น
การดำรงอยู่ของสหกรณ์จึงเป็นสิ่ง สำคัญ เพราะเป็นการดำรงอยู่ของระบบความ สัมพันธ์ของสังคมเดิม (ที่ควรจะดำรงอยู่ต่อไป) การขยายการผลิตของสหกรณ์จึงไม่น่าจะใช้วิธีการเพิ่มเครื่องจักร เพราะจะเป็นตัวเร่งให้สหกรณ์ล่มสลายเร็วขึ้น แต่ควรเป็นไปด้วยการขยายจำนวน คน แม้ว่าที่สุดแล้วอาจจะได้รายได้ น้อยกว่าใช้เครื่องจักร แต่ลักษณะทางกายภาพและลักษณะทาง สังคมของสหกรณ์จะยังดำรงอ ยู่ คือเป็น "พี่-น้อง" ที่มาช่วยกันด้วย "น้ำใจ" และเมื่อสหกรณ์ยิ่งเติบโตขึ้น ขยายวงกว้างกันมากขึ้น คนที่มาร่วมกันก็จะยิ่งรักกันมากขึ้นทั้งจำนวนและความผูกพัน ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่ากำไรที่เป็นเงินเสียอีก
นี่แหละคือพระปรีชาญาณของพระองค์ ที่ทรงมีสายพระเนตรที่กว้าง ขวาง เอ้อ ใช้ราชาศัพท์มาก คนอ่านอาจจะเหนื่อย เอาเป็นว่าพระองค์"ฉลาด"และ"มองการณ์ไกล"เอามากๆ แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเข้าใจ สภาพพื้นฐานของสังคมไทยเป็น อย่างดี ตลอดจนเห็นตัวอย่างของสังคมเมือง ที่ถูก "ระบบบริษัท" และ "ทุนนิยม" มาทำลายลักษณะความโอบอ้อมอารี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของคนไทยไปสิ้น จึงทำให้เห็นต่อเนื่องไปอีกว่า พระองค์ไม่ได้เสด็จต่างจังหวัดแบบโก้ ๆ เก๋ ๆ หรือที่นักวิชาการซ้ายหลายคนพ ยายามชี้ว่าพระองค์ "สร้างภาพ" แต่พระองค์ทรงเสด็จแบบจริง ๆ จัง ๆ และได้เรียนรู้ เก็บข้อมูลลักษณะสังคม ยิ่งกว่า NGO หลายคน จึงจะเห็นว่า "ระบบสหกรณ์" และ "เศรษฐกิจพอเพียง" ไม่ได้เกิดขึ้นมาเป็นนโยบายโก้ ๆ แต่คือความพยายามในการรักษา "ลักษณะของสังคมไทยที่ดี" เอาไว้ให้ได้มากที่สุดของพระองค์
นี่แหละครับคำตอบว่า "อย่าเลย เธอเอาเครื่องจักรมาทำงานแทนคน ได้ผลผลิตเร็วขึ้น ได้กำไรมากขึ้นก็จริง แต่คนจะไม่มีงานทำ" จึงเป็นคำตอบของมหาบุรุษ
นี่แค่ตัวอย่างเดียว ต้องใช้พื้นที่อธิบายขนาดนี้ อันที่จริงผมมีอีกหลายตัวอย่างจากการศึกษามา ว่าจะเขียนรวมเล่มเป็นหนังสือแต่ ว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลา (ข้ออ้าง) เอาเป็นว่าอย่าลืมเตือนผมตอนผมว่าง ๆ ก็แล้วกันนะ
นั่นจึงเป็นคำตอบว่า ทำไมคนหัวเอียงอย่างผมถึงกลับมาทำหัวตรง ถวายความรักความนับถือให้พระองค์จนหลายคนเข้าใจผิดว่าผมเป็น Royalist หัวรุนแรง ไม่หรอกครับ ผมไม่ได้ถวายความรักความนับถือ ให้พระองค์แบบไม่ลืมหูลืมตา แต่มีเหตุผลมากพอที่จะบอกว่า ทำไมผมถึงมีจุดยืนเช่นนี้
เช่นเดียวกัน หากใครมีเหตุผลมากพอที่จะมีจุดยืนที่แตกต่าง ผมก็ไม่เคยรังเกียจ เช่นเดียวกับน้องคนนั้น
สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นปัจจัย ที่ทำให้คนรุ่นใหม่ "ไม่รักในหลวง" นั่นเป็นเพราะกระแส "ลัทธิซาบซึ้ง" ที่ถูกปลุกขึ้นมาในช่วงปี ๔๖-ปัจจุบัน ที่สอนให้เรารักในหลวงแบบ "ลัทธิ" ไม่ใช่ "ความเข้าใจ" เช่น บอกลูกบอกหลานว่า "รักในหลวงนะลูก" - "ทำไมล่ะแม่" - "เพราะพระองค์ทำเพื่อแผ่นดิน" - "ยังไงล่ะแม่" - "ทรงเสด็จไปพัฒนาท้องที่ทุรกันดาร" - "ไปไหนบ้างล่ะแม่" - "ทั่วประเทศจ๊ะ" - "จริงเหรอแม่" - ...(คิดในใจ นั่นสินะ)
ดูเหมือนว่าภาพของกษัตริย์ที่เด็ก รุ่นใหม่เห็นในปัจจุบัน จะเป็นเรื่องอภินิหารปรัมปรา (Myth) เรื่องราวพระราชกรณียกิจของพระองค์ ก็เป็นเหมือนเรื่องเล่า นานแสนนานจนจับต้องไม่ได้ ทั้งที่ทุกสิ่งที่พระองค์ทำนั้น เป็นเรื่องที่มีบันทึกไว้ท ั้งหมด แต่ดูเหมือนว่าเราสามารถเข้าถึง ข้อมูลนี้ได้น้อยเกินไป หรือเราศึกษาเรื่องราวของพระองค์ ท่านน้อยเกินไป ส่วนหนึ่งผมขอกล่าวโทษสำนักราชเลขาธิการ หรือส่วนอื่นส่วนใดก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องที่ไม่สามารถทำให้ประชาชนเข้าถึง "ความดีงาม" และ "พระปรีชาญาณ" ของพระองค์ได้มากพอ แต่กลับปลุกเร้าในทำนอง "ลัทธิ" ทั้งที่ความดีงามของพระองค์นั้น มีมากมายจนทำให้คน "รักอย่างเข้าใจ" ได้ไม่ยากเลย (ตรงกันข้ามกับอดีตนายกฯ แม้ว ที่ต้องปลุกเร้าให้คนรักแบบ "ลัทธิ" เพราะไม่สามารถให้คนรักแบบ "เข้าใจ" ได้ เพราะเมื่อใดที่คนที่รักแม้วเข้า ใจว่าอะไรเป็นอะไร คนนั้นจะหมดรักแม้วทันที) ถ้าสามารถทำให้ทุกคน "รักอย่างเข้าใจ" ได้ "ลัทธิซาบซึ้ง" ก็ไม่จำเป็นเลยสำหรับการ "รักในหลวง"
การทำให้การ "รักในหลวง" เป็น "ลัทธิซาบซึ้ง" จึงสุ่มเสี่ยงต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์และตรวจสอบจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย นอกจากนั้นยังมีการพยายามเสนอ ความคิดในลักษณะ "เปิดโปง" ความไม่ดีไม่งามบางประการอย่างผิด ๆ เช่นที่บทความหนึ่งได้กล่าวว่า พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เพราะบทความนั้นรวมสำนักงานทรัพย์สิน ส่วนพระมหากษัตริย์เข้า ไปในบัญชีรายชื่อทรัพย์สินของพระองค์ ด้วย ทั้งที่สำนักงานนี้โดยเนื้อแท้ แล้วเป็นสำนักงานที่อยู่ใน ความควบคุมของรัฐ พระองค์ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ตามชอบใจ และเงินคงคลังแผ่นดินส่วนมากก็จะอยู่ในนี้ ดังนั้นพระองค์จึงเป็นเจ้าของทรัพย์ สินนี้แต่ในนาม การจะ "ตีขลุม" เอาว่าพระองค์ "รวย" ก็ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมต่อพระองค์ นัก อย่างไรก็ดี ก็มีหลายคนที่พร้อมจะเชื่อบทความดังกล่าวโดยไม่ลังเลและไม่ไตร่ตรอง เพราะสำคัญว่าเรานี่ช่างวิเศษเหลือเกินที่ "ได้รู้ได้เห็น" ความลับที่ใครอื่นไม่รู้ นี่แค่ตัวอย่างเดียวนะครับ ยังมีตัวอย่างอีกมากที่ได้รับการ เผยแพร่จากนักวิชาการไร้ค วามรับผิดชอบ แต่ไม่มีใครออกมาชี้แจง การไม่ออกมาชี้แจงของฝ่ายที่เกี่ยวข้องจึงทำให้สถาบันถูกมองว่าเป็น "สิ่งที่ตรวจสอบไม่ได้" และ "มีความลับที่ไม่ดีมากมายในนั้น" ทั้งที่ความจริงแล้ว "การตรวจสอบ" และ "การชี้แจง" เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้สถานะ ของสถาบันกษัตริย์มีความมั่น คงมากกว่า "ความเชื่อ" และ "ความรักแบบไม่เข้าใจ"
อีกประการหนึ่ง ใครที่เคยเป็นวัยรุ่น ก็น่าจะเข้าใจครับ วัยนั้นมัน "วัยแห่งการต่อต้าน" หรือ "วัยขบถ" เป็นปมอย่างหนึ่งที่ถ้าเรียนจิตวิทยามาจะเข้าใจ คือไม่อยากทำตัวเหมือนคนส่วนใหญ่ ไม่อยากตามกระแส ไม่อยากทำตามคำสั่งใคร เพราะจะ "ไม่มีตัวตน" และจะ "ไม่ได้รับการยอมรับ" ทีนี้ก็เอามาปนกับเรื่องนี้ ถ้าคนส่วนใหญ่รักในหลวง แม่สั่งให้รักในหลวง หนูก็จะไม่รักดื้อ ๆ นี่แหละ มีอะไรมั้ย จะคิดต่างใครจะทำไม เพื่อให้ได้มี "ที่ยืนอันแสนโดดเด่น" ในสังคม โดยเฉพาะเมื่อเกิดการ "รักในหลวง" ที่ถูกทำให้เป็น "กระแส" (อาทิ วิสต์แบนด์ เสื้อเหลือง-ชมพู ฯลฯ) มากกว่ารักเพราะศรัทธาอย่างแท้จริง (ที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรทำ ให้เกิดขึ้นอย่างยิ่ง) กระแสมันมาแบบนี้ ก็จะมีวัยรุ่นหลาย ๆ คนที่ไม่อยาก "ตามกระแส" ก็เลย "ไม่รักในหลวง" ไปซะแบบนั้น ก็เป็นเรื่องของเด็กที่เข้าใจได้ครับ อันนี้ไม่ได้ดูถูกความรู้สึกนึกคิดของวัยรุ่นว่าคิดเองไม่เป็นนะครับ แต่มันมีส่วนหนึ่งที่อธิบายได้ แบบนี้
จึงต้องกลับมาทบทวนครับว่า หลายสิ่งที่เราทำเพื่อให้สถาบันสูงสุดดำรงอยู่นี้ เราทำได้ถูกต้องเหมาะสมเพียงใด และควรปรับปรุงอะไรบ้าง กรณีน้องณัฐกานต์ถูกปฏิเสธสิทธิพื้นฐานทางการศึกษาเพราะ "ไม่รักในหลวง" นั้นเหมาะสมมากน้อยหรือไม่เพี ยงใด จากนี้ไป สถาบันกษัตริย์จะต้องเผชิญกับอันตรายหลายด้าน และสุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงที่ จะดำรงอยู่ กฎหมายหมิ่นฯ ก็เป็นเพียงระบบหนึ่งที่จะประกันความมั่นคงได้ส่วนหนึ่ง แต่กฎหมายนั้นไม่สามารถเข้าไปบีบบังคับความคิด-ความเชื่อของคนในรัฐได้ สำหรับในคนรุ่นเก่านี้ ผมเองคิดว่าสถาบันกษัตริย์ยังมี ความมั่นคงมากพอจากหลายปัจจัย แต่ในคนรุ่นต่อไป การท้าทายพระราชอำนาจและความมั่นคงของสถาบันจะมีมากขึ้น ซึ่งก็เป็นโจทย์สำคัญสำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่า จะทำอย่างไรในอนาคตเพื่อให้ความ มั่นคงของสถาบันนี้ยังคงอยู่
ผมคงจะไม่ขอให้คนรุ่นใหม่คิดแบบ เดียวกับที่ผมคิด เพราะความคิดของคนเราสามารถมีความแตกต่างได้ ผมมีเพียงคำถามที่อยากฝากไว้สำ หรับคนรุ่นใหม่ในวันนี้ที่ "ไม่รักในหลวง" ขอให้ถามตัวเองว่า ๑.ทำไม ๒.เราจะรักหรือไม่รักใครคนหนึ่งโดยที่เราไม่รู้จักเขาจริง ๆ จะยุติธรรมต่อคน ๆ นั้นไหม ไม่ต้องตอบผมครับ ถามตัวเองแล้วตอบตัวเอง ถ้าสามารถตอบตนเองได้โดยได้คำตอบที่ตนเองพอใจ ผมก็จะไม่ไปก้าวก่ายความคิดของ ท่าน
มีเพียงสิ่งเดียวที่ผมอยากจะขอ ก็คือ ขอแค่อย่าคิดจะไม่รักเพราะคิดว่า เท่ เป็นแฟชั่น ขอให้แตกต่างจากคนอื่นเป็นดี โดยไม่ใช้ "สมอง" ไตร่ตรองเลยครับ
วุฒินันท์ ชัยศรี
ศิษย์เก่าคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร รุ่น ๓๘
ที่มา : http://www.facebook.com/note.php?note_id=398262729305&id=100000461614520&ref=mf
Wednesday, May 26, 2010
เหตุการณ์เมืองไทยในสายตาฝรั่ง
การมองตัวเองด้วยสายตาเป็นกลางไม่ใช่เรื่องง่าย
ปกติเราจะมองตัวเองดี เพราะตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ดังนั้นข้อเสียอะไรที่คนอื่นมองเห็นเรากลับมองไม่เห็น
เวลาเราเห็นฝรั่งรายงานข่าวเกี่ยวกับเมืองไทย เรามักจะตะหงิดๆ ว่าทำไมฝรั่งถึงไม่เข้าใจเมืองไทยแล้วไปรายงานผิดๆ
แต่จากที่ผมได้คุยกับฝรั่งที่อยู่เมืองไทยหลายคน ก็รู้สึกว่าเขาเข้าใจดีว่าคนไทยมองสถานการณ์อย่างไร เพียงแต่ว่าจากข้อมูลที่เขามีทำให้เขามองจากแง่มุมที่ต่างจากเรา
ผมหวนกลับไปนึกถึงอดีตบางช่วงในประวัติศาสตร์ไทยที่รัฐบาลของเราปิดหูปิดตาหรือแม้กระทั่งโกหกคนไทยด้วยกันเอง ก็คิดว่าเป็นไปได้ที่ข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐจะไม่ถูกต้อง เป็นไปได้ที่ข้อมูลข่าวสารจากฝรั่งจะสะท้อนความเป็นจริงได้ดีกว่า เพราะเขาอยู่ห่างจากเราพอที่จะมองเราด้วยสายตาเป็นกลาง โดยไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย
และปกติถ้าฝรั่งไม่พอใจการนำเสนอข่าวหรือข้อคิดเห็นของกันและกัน ก็สามารถโต้เถียงกันได้ว่าความจริงคืออะไร โดยไม่รู้สึกโกรธเกลียดเคียดแค้นกัน
The Economist เป็นนิตยสารที่ผมมักจะแนะนำให้ลูกศิษย์อ่าน เพราะใช้ภาษาได้ดี และนำเสนอแง่คิดอย่างตรงไปตรงมา ไม่เกรงใจใคร และเมื่อภายหลังปรากฏว่าวิเคราะห์ผิด ก็พร้อมที่จะยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าตัวเองพลาดไปแล้ว
ผมหวังว่าบทวิเคราะห์ของ The Economist เกี่ยวกับเมืองไทยฉบับนี้จะผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะมีหลายประเด็นที่ผมไม่เห็นด้วย แต่ผมก็ไม่ทราบว่านั่นเป็นเพราะผมเป็นผู้สังเกตการณ์ที่อยู่ใกล้เหตุการณ์เกินไปหรือเปล่า
A polity imploding
May 20th 2010 | BANGKOK
From The Economist print edition
As the red-shirt protesters are cleared from Bangkok, anti-government unrest spreads to the rest of the country
THE black smoke that had hung over Bangkok’s jagged skyline for six days grew thicker and more noxious. On May 19th combat troops marched into the protest camp where a few thousand anti-government red-shirt stragglers remained, defiant to the end. Their main leaders went quietly, to howls of disapproval from diehard demonstrators, but 13 people died and more than 80 were injured as the camp was cleared. Angry protesters torched their tyre-and-bamboo barricades, then set fire to the Bangkok stock exchange and Central World, one of South-East Asia’s biggest department stores.
The dawn assault on the fortified camp was methodical, and met only scattered resistance from gunmen holed up inside. It was not, mercifully, the Tiananmen Square rerun that some had predicted. Most protesters took shelter in a temple, and then were herded away to evacuation points. Security forces had overwhelming force on their side. On the outskirts of the camp, though, riots flared along a main road that had seen the worst of the recent fighting. Arson attacks spread to new areas, and gun battles erupted in the blackened underpass beneath an expressway, not far from a port slum that has begun staging its own red-shirt rally. Protesters in the north and north-east, where red-shirt sympathies run deepest, were quick to resort to arson attacks in retaliation.
All this has its roots in a military coup in 2006, when the then prime minister, Thaksin Shinawatra, a telecoms tycoon, was removed from power. He fled into exile, but the red shirts continue to support him, and have been demanding new elections. They present themselves as rural and poor, as opposed to the urban elites who are closer to the revered King Bhumibol and his family. The protests have been their way of venting their political frustration. They have also revealed the deep social and economic divisions in Thai society.
The prime minister, Abhisit Vejjajiva, has failed to make any headway with the red shirts. On April 10th he hastily sent in troops to clear another protest site, with the loss of 25 lives. But he does deserve credit for offering a compromise since then. On May 3rd he proposed the holding of elections in November, a year before his term ends, as part of a reconciliation package. That the leaders of the United Front for Democracy against Dictatorship (UDD), the red shirts’ formal title, failed to grasp this olive branch is tragic. They, as much as trigger-happy soldiers, must bear some responsibility for the lives lost.
Yet even on May 18th an 11th-hour ceasefire had appeared close. But mistrust on both sides proved impossible to bridge, and the talks failed. In truth, this approach may have been doomed since widespread fighting erupted on May 13th after a presumed army sniper picked off General Khattiya Sawasdipol, a rogue officer who ran the red shirts’ security. He died on May 17th. Suspended from duty but not yet stripped of his rank, he was honoured with a funeral sponsored by the king at a Buddhist temple, another reminder of how much rank means in Thailand.
By then, the die had been cast. Military units trying to block off the sprawling protest site were attacked by stone-throwing yobs who brought along petrol bombs and firecrackers. Shadowy black-clad militia-members also joined in, though fleetingly. Soldiers shot back without much restraint, even at paramedics trying to bring out the wounded. Road junctions were declared “live-fire zones”. The mayhem spread to other parts of the city. The military cordon appeared to be breaking as red shirts defied orders to stay away. Something had to give. In the end it was overwhelming military force, not a political deal among the warring factions, that won the day.
As the bullets flew and the bodies fell, crocodile tears came from afar, as Mr Thaksin tweeted his sorrow to his followers. From his luxurious exile he denied, once again, that he was giving orders to the red-shirt leaders and urged everyone to embrace peace. There is little doubt, however, that Mr Thaksin holds sway over the splintered, squabbling red-shirt leadership. The two-month protest would not have been possible without his deep pockets, vengeful will and political network, even though the red-shirt cause has become much larger than him. And his stubbornness seems to have undone the peace talks, despite his protestations.
Society fractured
In April 2009, when troops were also called in to restore order in Bangkok, red-shirt leaders got carried away by their own rhetoric and found themselves quickly out on a limb. Veera Musikapong, a moderate Thaksin follower, recommended surrender instead. Tellingly, he left the red-shirt camp last week when it became clear that hardliners led by Mr Thaksin would not accept Mr Abhisit’s peace plan. Mr Veera’s behind-the-scenes efforts to bring the leadership back into the fold came to nothing.
As Thailand’s crisis continues to unfold, many will wonder how it came to this. If politics is the art of the compromise, Thais had appeared to be experts. Various political factions, both elected and unelected, cobbled together governments that oversaw steady economic growth even as they squabbled and scrapped for the spoils. That pragmatic formula no longer works. Political crises have polarised opinions within families, workplaces and communities, and hollowed out the centre.
That is why this crisis goes much deeper than previous rounds of political violence, including the bloodshed in May 1992 when a coup leader sent troops out to mow down pro-democracy protesters. Then, King Bhumibol Adulyadej was able to order a truce between the army chief and the protest leader, and appoint an interim administration to steer the country out of crisis. Bhumibol, who is 82 and confined to hospital, has stayed out of the current mess. Some red shirts, and many foreign observers, believe that the palace has already taken sides and is no longer an honest broker. The 2006 coup and royalist yellow-shirt protests in 2008 drove home that message. But even if Bhumibol did try to mediate this time, there is no simple fix. The prospect of the looming succession, with an unpopular crown prince in the wings, further heightens tensions.
Why compromise failed
The aftermath of the May 19th crackdown will probably see sporadic unrest, both around Bangkok’s slums and in the north and north-east. Many of the red shirts at the rally came from the north-east, which accounts for around one-third of parliamentary seats. Since 2001 the region has overwhelmingly voted for Mr Thaksin and his allies. The red shirts had sought to force a new election in the belief that voters would turf out Mr Abhisit, the darling of Bangkok’s privileged classes.
Had the red shirts accepted the prime minister’s offer of elections, the timetable would have been to their advantage. Now an election seems like a liability in a climate of violence and fear. It is hard to imagine government candidates setting foot in the red-shirt heartland without a phalanx of armed guards. Many in Bangkok would be irate to see the protest leaders run for office. Mr Abhisit has argued that an election, in itself, will not solve Thailand’s political problems. He has a (self-serving) point. A chaotic, disputed ballot, and the absence of neutral bodies to settle disputes, could drag Thailand further down the road towards civil war, which is increasingly talked about.
Many are asking why peace talks failed, when the red shirts had little hope of resisting the troops. Insiders say that Mr Thaksin was a serious spoiler, as were General Khattiya and other radicals. In a dysfunctional and factionalised movement, internal talks bogged down. Some leaders balked at facing criminal charges without the guarantee of bail. But the leadership was also held hostage, in part, by its own rhetoric and the emotions stirred among its followers. Many were enraged by the April 10th slaughter and unimpressed by the six-month timeline for elections. “The mob would not allow them to give in so easily,” says a senior security official.
Some red shirts complain that the prime minister’s plan was too vague and lacked teeth. They did not trust Mr Abhisit to keep his promises, and asked what would happen if he resigned or his party were dissolved for electoral irregularities (it faces a court case). But by far the greatest distrust, and the hardest to overcome, is that felt by a sizeable number of Thais, inside and outside the red shirts, towards the country’s royalist elite and its political, military and business allies. This grouping blithely tossed out Mr Thaksin when he got too big for his boots. That he was thuggish and greedy was a handy excuse. But the 2006 coup failed to bury him politically and only unleashed a wider backlash against an elite that still believes in a divine hierarchy of which they are the agents. Mr Abhisit would object to such a description, but his class betrays little sympathy or interest in the aspirations of rural and working-class voters. Their attitude, says Supavud Saicheua, an economist at Phatra Securities, is: “We are brilliant people. We know what you want.”
Such intransigence has bred dark, violent dreams. Most red shirts swear blind that they stick to peaceful methods, even if they have to resort to disruptive sit-ins. Indeed, the protests were surprisingly jolly and gentle at the start, to the relief of Bangkokians who remembered the April 2009 unrest. Their message of social and economic injustice, and of the double standards in Thai justice, got a sympathetic hearing. It seemed that the tide had shifted towards the red shirts and away from their yellow-shirted rivals in the People’s Alliance for Democracy (PAD).
But it has long been apparent that some red followers do not believe in gradual change in Thailand’s political order. Simply put, they think it is not possible to play at democracy in the current circumstances. To this group of rogue military types, armchair revolutionaries and opportunists, the endgame is not elections, but regime change. The current violence is only the start of a long revolutionary road. This is the unfinished business of 1932, when the absolute monarchy ended and Thailand’s power balance began to shift towards other forces. It is still in flux, and is likely to remain so as long as the post-Bhumibol future is so uncertain.
Conservatives will object vehemently to this characterisation of Thailand’s troubled politics. They will argue that Mr Thaksin has hoodwinked the world into believing that his red-shirt rabble is poor and oppressed. Not so, they say. Thailand’s economic growth has trickled down to the masses, all under the benevolent gaze of Bhumibol. In recent weeks the foreign minister, Kasit Piromya, has railed at foreign diplomats who talked to the red shirts after the April 10th clashes, which the government says militant gunmen fomented. He snubbed a senior American diplomat who dared to sit down to breakfast with moderate opposition figures. He says foreign allies should be doing more to catch Mr Thaksin, a “terrorist”, as he calls him.
When the UDD called for the United Nations to step into the crisis, Mr Kasit retorted that Thailand was “not a failed state”. That is true. But if it does become ungovernable, the fault will not be Mr Thaksin’s alone. Equally culpable is the royalist PAD that Mr Kasit belongs to. He and many of his peers could not stand the idea of an elected government loyal to Mr Thaksin. So they helped organise a six-month protest in 2008 that culminated in the seizure of Bangkok’s two airports, all in the name of defending the monarchy. Two prime ministers were removed by the courts on dubious grounds. The stage was set for Mr Abhisit to take power, enraging those who voted in his opponents and laying out the template for mob rule which the red shirts have copied. No PAD leader has gone on trial for what he did. The red leaders may be less fortunate.
Sorting out this mess would require an end to the “crooked procedures” that began with the 2006 coup, says Thitinan Pongsudhirak, a political scientist at Chulalongkorn University. That means constitutional reforms to undo the undemocratic rules imposed by the army. It may also be helpful to lift bans on politicians from dissolved pro-Thaksin parties, some of whom are far more moderate than those in the UDD and not necessarily on Mr Thaksin’s side. All of this was under discussion a year ago, after Bangkok’s last conflagration. That Mr Abhisit failed to make these changes and frame his mission as peaceful reconciliation is lamentable. It will only be harder now.
ปกติเราจะมองตัวเองดี เพราะตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ดังนั้นข้อเสียอะไรที่คนอื่นมองเห็นเรากลับมองไม่เห็น
เวลาเราเห็นฝรั่งรายงานข่าวเกี่ยวกับเมืองไทย เรามักจะตะหงิดๆ ว่าทำไมฝรั่งถึงไม่เข้าใจเมืองไทยแล้วไปรายงานผิดๆ
แต่จากที่ผมได้คุยกับฝรั่งที่อยู่เมืองไทยหลายคน ก็รู้สึกว่าเขาเข้าใจดีว่าคนไทยมองสถานการณ์อย่างไร เพียงแต่ว่าจากข้อมูลที่เขามีทำให้เขามองจากแง่มุมที่ต่างจากเรา
ผมหวนกลับไปนึกถึงอดีตบางช่วงในประวัติศาสตร์ไทยที่รัฐบาลของเราปิดหูปิดตาหรือแม้กระทั่งโกหกคนไทยด้วยกันเอง ก็คิดว่าเป็นไปได้ที่ข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐจะไม่ถูกต้อง เป็นไปได้ที่ข้อมูลข่าวสารจากฝรั่งจะสะท้อนความเป็นจริงได้ดีกว่า เพราะเขาอยู่ห่างจากเราพอที่จะมองเราด้วยสายตาเป็นกลาง โดยไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย
และปกติถ้าฝรั่งไม่พอใจการนำเสนอข่าวหรือข้อคิดเห็นของกันและกัน ก็สามารถโต้เถียงกันได้ว่าความจริงคืออะไร โดยไม่รู้สึกโกรธเกลียดเคียดแค้นกัน
The Economist เป็นนิตยสารที่ผมมักจะแนะนำให้ลูกศิษย์อ่าน เพราะใช้ภาษาได้ดี และนำเสนอแง่คิดอย่างตรงไปตรงมา ไม่เกรงใจใคร และเมื่อภายหลังปรากฏว่าวิเคราะห์ผิด ก็พร้อมที่จะยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าตัวเองพลาดไปแล้ว
ผมหวังว่าบทวิเคราะห์ของ The Economist เกี่ยวกับเมืองไทยฉบับนี้จะผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะมีหลายประเด็นที่ผมไม่เห็นด้วย แต่ผมก็ไม่ทราบว่านั่นเป็นเพราะผมเป็นผู้สังเกตการณ์ที่อยู่ใกล้เหตุการณ์เกินไปหรือเปล่า
A polity imploding
May 20th 2010 | BANGKOK
From The Economist print edition
As the red-shirt protesters are cleared from Bangkok, anti-government unrest spreads to the rest of the country
THE black smoke that had hung over Bangkok’s jagged skyline for six days grew thicker and more noxious. On May 19th combat troops marched into the protest camp where a few thousand anti-government red-shirt stragglers remained, defiant to the end. Their main leaders went quietly, to howls of disapproval from diehard demonstrators, but 13 people died and more than 80 were injured as the camp was cleared. Angry protesters torched their tyre-and-bamboo barricades, then set fire to the Bangkok stock exchange and Central World, one of South-East Asia’s biggest department stores.
The dawn assault on the fortified camp was methodical, and met only scattered resistance from gunmen holed up inside. It was not, mercifully, the Tiananmen Square rerun that some had predicted. Most protesters took shelter in a temple, and then were herded away to evacuation points. Security forces had overwhelming force on their side. On the outskirts of the camp, though, riots flared along a main road that had seen the worst of the recent fighting. Arson attacks spread to new areas, and gun battles erupted in the blackened underpass beneath an expressway, not far from a port slum that has begun staging its own red-shirt rally. Protesters in the north and north-east, where red-shirt sympathies run deepest, were quick to resort to arson attacks in retaliation.
All this has its roots in a military coup in 2006, when the then prime minister, Thaksin Shinawatra, a telecoms tycoon, was removed from power. He fled into exile, but the red shirts continue to support him, and have been demanding new elections. They present themselves as rural and poor, as opposed to the urban elites who are closer to the revered King Bhumibol and his family. The protests have been their way of venting their political frustration. They have also revealed the deep social and economic divisions in Thai society.
The prime minister, Abhisit Vejjajiva, has failed to make any headway with the red shirts. On April 10th he hastily sent in troops to clear another protest site, with the loss of 25 lives. But he does deserve credit for offering a compromise since then. On May 3rd he proposed the holding of elections in November, a year before his term ends, as part of a reconciliation package. That the leaders of the United Front for Democracy against Dictatorship (UDD), the red shirts’ formal title, failed to grasp this olive branch is tragic. They, as much as trigger-happy soldiers, must bear some responsibility for the lives lost.
Yet even on May 18th an 11th-hour ceasefire had appeared close. But mistrust on both sides proved impossible to bridge, and the talks failed. In truth, this approach may have been doomed since widespread fighting erupted on May 13th after a presumed army sniper picked off General Khattiya Sawasdipol, a rogue officer who ran the red shirts’ security. He died on May 17th. Suspended from duty but not yet stripped of his rank, he was honoured with a funeral sponsored by the king at a Buddhist temple, another reminder of how much rank means in Thailand.
By then, the die had been cast. Military units trying to block off the sprawling protest site were attacked by stone-throwing yobs who brought along petrol bombs and firecrackers. Shadowy black-clad militia-members also joined in, though fleetingly. Soldiers shot back without much restraint, even at paramedics trying to bring out the wounded. Road junctions were declared “live-fire zones”. The mayhem spread to other parts of the city. The military cordon appeared to be breaking as red shirts defied orders to stay away. Something had to give. In the end it was overwhelming military force, not a political deal among the warring factions, that won the day.
As the bullets flew and the bodies fell, crocodile tears came from afar, as Mr Thaksin tweeted his sorrow to his followers. From his luxurious exile he denied, once again, that he was giving orders to the red-shirt leaders and urged everyone to embrace peace. There is little doubt, however, that Mr Thaksin holds sway over the splintered, squabbling red-shirt leadership. The two-month protest would not have been possible without his deep pockets, vengeful will and political network, even though the red-shirt cause has become much larger than him. And his stubbornness seems to have undone the peace talks, despite his protestations.
Society fractured
In April 2009, when troops were also called in to restore order in Bangkok, red-shirt leaders got carried away by their own rhetoric and found themselves quickly out on a limb. Veera Musikapong, a moderate Thaksin follower, recommended surrender instead. Tellingly, he left the red-shirt camp last week when it became clear that hardliners led by Mr Thaksin would not accept Mr Abhisit’s peace plan. Mr Veera’s behind-the-scenes efforts to bring the leadership back into the fold came to nothing.
As Thailand’s crisis continues to unfold, many will wonder how it came to this. If politics is the art of the compromise, Thais had appeared to be experts. Various political factions, both elected and unelected, cobbled together governments that oversaw steady economic growth even as they squabbled and scrapped for the spoils. That pragmatic formula no longer works. Political crises have polarised opinions within families, workplaces and communities, and hollowed out the centre.
That is why this crisis goes much deeper than previous rounds of political violence, including the bloodshed in May 1992 when a coup leader sent troops out to mow down pro-democracy protesters. Then, King Bhumibol Adulyadej was able to order a truce between the army chief and the protest leader, and appoint an interim administration to steer the country out of crisis. Bhumibol, who is 82 and confined to hospital, has stayed out of the current mess. Some red shirts, and many foreign observers, believe that the palace has already taken sides and is no longer an honest broker. The 2006 coup and royalist yellow-shirt protests in 2008 drove home that message. But even if Bhumibol did try to mediate this time, there is no simple fix. The prospect of the looming succession, with an unpopular crown prince in the wings, further heightens tensions.
Why compromise failed
The aftermath of the May 19th crackdown will probably see sporadic unrest, both around Bangkok’s slums and in the north and north-east. Many of the red shirts at the rally came from the north-east, which accounts for around one-third of parliamentary seats. Since 2001 the region has overwhelmingly voted for Mr Thaksin and his allies. The red shirts had sought to force a new election in the belief that voters would turf out Mr Abhisit, the darling of Bangkok’s privileged classes.
Had the red shirts accepted the prime minister’s offer of elections, the timetable would have been to their advantage. Now an election seems like a liability in a climate of violence and fear. It is hard to imagine government candidates setting foot in the red-shirt heartland without a phalanx of armed guards. Many in Bangkok would be irate to see the protest leaders run for office. Mr Abhisit has argued that an election, in itself, will not solve Thailand’s political problems. He has a (self-serving) point. A chaotic, disputed ballot, and the absence of neutral bodies to settle disputes, could drag Thailand further down the road towards civil war, which is increasingly talked about.
Many are asking why peace talks failed, when the red shirts had little hope of resisting the troops. Insiders say that Mr Thaksin was a serious spoiler, as were General Khattiya and other radicals. In a dysfunctional and factionalised movement, internal talks bogged down. Some leaders balked at facing criminal charges without the guarantee of bail. But the leadership was also held hostage, in part, by its own rhetoric and the emotions stirred among its followers. Many were enraged by the April 10th slaughter and unimpressed by the six-month timeline for elections. “The mob would not allow them to give in so easily,” says a senior security official.
Some red shirts complain that the prime minister’s plan was too vague and lacked teeth. They did not trust Mr Abhisit to keep his promises, and asked what would happen if he resigned or his party were dissolved for electoral irregularities (it faces a court case). But by far the greatest distrust, and the hardest to overcome, is that felt by a sizeable number of Thais, inside and outside the red shirts, towards the country’s royalist elite and its political, military and business allies. This grouping blithely tossed out Mr Thaksin when he got too big for his boots. That he was thuggish and greedy was a handy excuse. But the 2006 coup failed to bury him politically and only unleashed a wider backlash against an elite that still believes in a divine hierarchy of which they are the agents. Mr Abhisit would object to such a description, but his class betrays little sympathy or interest in the aspirations of rural and working-class voters. Their attitude, says Supavud Saicheua, an economist at Phatra Securities, is: “We are brilliant people. We know what you want.”
Such intransigence has bred dark, violent dreams. Most red shirts swear blind that they stick to peaceful methods, even if they have to resort to disruptive sit-ins. Indeed, the protests were surprisingly jolly and gentle at the start, to the relief of Bangkokians who remembered the April 2009 unrest. Their message of social and economic injustice, and of the double standards in Thai justice, got a sympathetic hearing. It seemed that the tide had shifted towards the red shirts and away from their yellow-shirted rivals in the People’s Alliance for Democracy (PAD).
But it has long been apparent that some red followers do not believe in gradual change in Thailand’s political order. Simply put, they think it is not possible to play at democracy in the current circumstances. To this group of rogue military types, armchair revolutionaries and opportunists, the endgame is not elections, but regime change. The current violence is only the start of a long revolutionary road. This is the unfinished business of 1932, when the absolute monarchy ended and Thailand’s power balance began to shift towards other forces. It is still in flux, and is likely to remain so as long as the post-Bhumibol future is so uncertain.
Conservatives will object vehemently to this characterisation of Thailand’s troubled politics. They will argue that Mr Thaksin has hoodwinked the world into believing that his red-shirt rabble is poor and oppressed. Not so, they say. Thailand’s economic growth has trickled down to the masses, all under the benevolent gaze of Bhumibol. In recent weeks the foreign minister, Kasit Piromya, has railed at foreign diplomats who talked to the red shirts after the April 10th clashes, which the government says militant gunmen fomented. He snubbed a senior American diplomat who dared to sit down to breakfast with moderate opposition figures. He says foreign allies should be doing more to catch Mr Thaksin, a “terrorist”, as he calls him.
When the UDD called for the United Nations to step into the crisis, Mr Kasit retorted that Thailand was “not a failed state”. That is true. But if it does become ungovernable, the fault will not be Mr Thaksin’s alone. Equally culpable is the royalist PAD that Mr Kasit belongs to. He and many of his peers could not stand the idea of an elected government loyal to Mr Thaksin. So they helped organise a six-month protest in 2008 that culminated in the seizure of Bangkok’s two airports, all in the name of defending the monarchy. Two prime ministers were removed by the courts on dubious grounds. The stage was set for Mr Abhisit to take power, enraging those who voted in his opponents and laying out the template for mob rule which the red shirts have copied. No PAD leader has gone on trial for what he did. The red leaders may be less fortunate.
Sorting out this mess would require an end to the “crooked procedures” that began with the 2006 coup, says Thitinan Pongsudhirak, a political scientist at Chulalongkorn University. That means constitutional reforms to undo the undemocratic rules imposed by the army. It may also be helpful to lift bans on politicians from dissolved pro-Thaksin parties, some of whom are far more moderate than those in the UDD and not necessarily on Mr Thaksin’s side. All of this was under discussion a year ago, after Bangkok’s last conflagration. That Mr Abhisit failed to make these changes and frame his mission as peaceful reconciliation is lamentable. It will only be harder now.
Tuesday, January 26, 2010
กองทัพนำความสุข?
อ่านข่าวจากกรมประชาสัมพันธ์...
23bn-THB warplane deal oncourse for Cabinet approval
BANGKOK, 25 January 2010 (NNT) – The Royal Thai Air Force has passed a procurement request for new F16 jets worth 23 billion Baht to the Defense Ministry to be proposed to the Cabinet tomorrow.
Air Force Spokesperson, Gp Capt Monthon Sutchukorn disclosed today that the air force's 23 billion Baht deal, which includes the purchase of 6 Swedish-made Gripen fighters and upgraded F16 aircrafts was recently approved within the force itself. The plan will be proposed to the government ministers tomorrow for approval.
The Air Force's earlier order of 6 Gripens is expected be delivered in March 2010. The planes will be used for operations in the deep south.
News ID: 255301250006
Reporter : Rungkarn Rujiwarangkul
News Date : 25 January 2010
http://thainews.prd.go.th/en/news.php?id=255301250006
...แล้วไปเจอบทความใน New York Times...
January 7, 2010
Op-Ed Columnist
The Happiest People
By NICHOLAS D. KRISTOF
SAN JOSÉ, Costa Rica
Hmmm. You think it’s a coincidence? Costa Rica is one of the very few countries to have abolished its army, and it’s also arguably the happiest nation on earth.
There are several ways of measuring happiness in countries, all inexact, but this pearl of Central America does stunningly well by whatever system is used. For example, the World Database of Happiness, compiled by a Dutch sociologist on the basis of answers to surveys by Gallup and others, lists Costa Rica in the top spot out of 148 nations.
That’s because Costa Ricans, asked to rate their own happiness on a 10-point scale, average 8.5. Denmark is next at 8.3, the United States ranks 20th at 7.4 and Togo and Tanzania bring up the caboose at 2.6.
Scholars also calculate happiness by determining “happy life years.” This figure results from merging average self-reported happiness, as above, with life expectancy. Using this system, Costa Rica again easily tops the list. The United States is 19th, and Zimbabwe comes in last.
A third approach is the “happy planet index,” devised by the New Economics Foundation, a liberal think tank. This combines happiness and longevity but adjusts for environmental impact — such as the carbon that countries spew.
Here again, Costa Rica wins the day, for achieving contentment and longevity in an environmentally sustainable way. The Dominican Republic ranks second, the United States 114th (because of its huge ecological footprint) and Zimbabwe is last.
Maybe Costa Rican contentment has something to do with the chance to explore dazzling beaches on both sides of the country, when one isn’t admiring the sloths in the jungle (sloths truly are slothful, I discovered; they are the tortoises of the trees). Costa Rica has done an unusually good job preserving nature, and it’s surely easier to be happy while basking in sunshine and greenery than while shivering up north and suffering “nature deficit disorder.”
After dragging my 12-year-old daughter through Honduran slums and Nicaraguan villages on this trip, she was delighted to see a Costa Rican beach and stroll through a national park. Among her favorite animals now: iguanas and sloths.
(Note to boss: Maybe we should have a columnist based in Costa Rica?)
What sets Costa Rica apart is its remarkable decision in 1949 to dissolve its armed forces and invest instead in education. Increased schooling created a more stable society, less prone to the conflicts that have raged elsewhere in Central America. Education also boosted the economy, enabling the country to become a major exporter of computer chips and improving English-language skills so as to attract American eco-tourists.
I’m not antimilitary. But the evidence is strong that education is often a far better investment than artillery.
In Costa Rica, rising education levels also fostered impressive gender equality so that it ranks higher than the United States in the World Economic Forum gender gap index. This allows Costa Rica to use its female population more productively than is true in most of the region. Likewise, education nurtured improvements in health care, with life expectancy now about the same as in the United States — a bit longer in some data sets, a bit shorter in others.
Rising education levels also led the country to preserve its lush environment as an economic asset. Costa Rica is an ecological pioneer, introducing a carbon tax in 1997. The Environmental Performance Index, a collaboration of Yale and Columbia Universities, ranks Costa Rica at No. 5 in the world, the best outside Europe.
This emphasis on the environment hasn’t sabotaged Costa Rica’s economy but has bolstered it. Indeed, Costa Rica is one of the few countries that is seeing migration from the United States: Yankees are moving here to enjoy a low-cost retirement. My hunch is that in 25 years, we’ll see large numbers of English-speaking retirement communities along the Costa Rican coast.
Latin countries generally do well in happiness surveys. Mexico and Colombia rank higher than the United States in self-reported contentment. Perhaps one reason is a cultural emphasis on family and friends, on social capital over financial capital — but then again, Mexicans sometimes slip into the United States, presumably in pursuit of both happiness and assets.
Cross-country comparisons of happiness are controversial and uncertain. But what does seem quite clear is that Costa Rica’s national decision to invest in education rather than arms has paid rich dividends. Maybe the lesson for the United States is that we should devote fewer resources to shoring up foreign armies and more to bolstering schools both at home and abroad.
In the meantime, I encourage you to conduct your own research in Costa Rica, exploring those magnificent beaches or admiring those slothful sloths. It’ll surely make you happy.
...ก็เลยอยากรู้เหมือนกันว่าที่เมืองไทยล้าหลังดักดานอยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะอะไร
23bn-THB warplane deal oncourse for Cabinet approval
BANGKOK, 25 January 2010 (NNT) – The Royal Thai Air Force has passed a procurement request for new F16 jets worth 23 billion Baht to the Defense Ministry to be proposed to the Cabinet tomorrow.
Air Force Spokesperson, Gp Capt Monthon Sutchukorn disclosed today that the air force's 23 billion Baht deal, which includes the purchase of 6 Swedish-made Gripen fighters and upgraded F16 aircrafts was recently approved within the force itself. The plan will be proposed to the government ministers tomorrow for approval.
The Air Force's earlier order of 6 Gripens is expected be delivered in March 2010. The planes will be used for operations in the deep south.
News ID: 255301250006
Reporter : Rungkarn Rujiwarangkul
News Date : 25 January 2010
http://thainews.prd.go.th/en/news.php?id=255301250006
...แล้วไปเจอบทความใน New York Times...
January 7, 2010
Op-Ed Columnist
The Happiest People
By NICHOLAS D. KRISTOF
SAN JOSÉ, Costa Rica
Hmmm. You think it’s a coincidence? Costa Rica is one of the very few countries to have abolished its army, and it’s also arguably the happiest nation on earth.
There are several ways of measuring happiness in countries, all inexact, but this pearl of Central America does stunningly well by whatever system is used. For example, the World Database of Happiness, compiled by a Dutch sociologist on the basis of answers to surveys by Gallup and others, lists Costa Rica in the top spot out of 148 nations.
That’s because Costa Ricans, asked to rate their own happiness on a 10-point scale, average 8.5. Denmark is next at 8.3, the United States ranks 20th at 7.4 and Togo and Tanzania bring up the caboose at 2.6.
Scholars also calculate happiness by determining “happy life years.” This figure results from merging average self-reported happiness, as above, with life expectancy. Using this system, Costa Rica again easily tops the list. The United States is 19th, and Zimbabwe comes in last.
A third approach is the “happy planet index,” devised by the New Economics Foundation, a liberal think tank. This combines happiness and longevity but adjusts for environmental impact — such as the carbon that countries spew.
Here again, Costa Rica wins the day, for achieving contentment and longevity in an environmentally sustainable way. The Dominican Republic ranks second, the United States 114th (because of its huge ecological footprint) and Zimbabwe is last.
Maybe Costa Rican contentment has something to do with the chance to explore dazzling beaches on both sides of the country, when one isn’t admiring the sloths in the jungle (sloths truly are slothful, I discovered; they are the tortoises of the trees). Costa Rica has done an unusually good job preserving nature, and it’s surely easier to be happy while basking in sunshine and greenery than while shivering up north and suffering “nature deficit disorder.”
After dragging my 12-year-old daughter through Honduran slums and Nicaraguan villages on this trip, she was delighted to see a Costa Rican beach and stroll through a national park. Among her favorite animals now: iguanas and sloths.
(Note to boss: Maybe we should have a columnist based in Costa Rica?)
What sets Costa Rica apart is its remarkable decision in 1949 to dissolve its armed forces and invest instead in education. Increased schooling created a more stable society, less prone to the conflicts that have raged elsewhere in Central America. Education also boosted the economy, enabling the country to become a major exporter of computer chips and improving English-language skills so as to attract American eco-tourists.
I’m not antimilitary. But the evidence is strong that education is often a far better investment than artillery.
In Costa Rica, rising education levels also fostered impressive gender equality so that it ranks higher than the United States in the World Economic Forum gender gap index. This allows Costa Rica to use its female population more productively than is true in most of the region. Likewise, education nurtured improvements in health care, with life expectancy now about the same as in the United States — a bit longer in some data sets, a bit shorter in others.
Rising education levels also led the country to preserve its lush environment as an economic asset. Costa Rica is an ecological pioneer, introducing a carbon tax in 1997. The Environmental Performance Index, a collaboration of Yale and Columbia Universities, ranks Costa Rica at No. 5 in the world, the best outside Europe.
This emphasis on the environment hasn’t sabotaged Costa Rica’s economy but has bolstered it. Indeed, Costa Rica is one of the few countries that is seeing migration from the United States: Yankees are moving here to enjoy a low-cost retirement. My hunch is that in 25 years, we’ll see large numbers of English-speaking retirement communities along the Costa Rican coast.
Latin countries generally do well in happiness surveys. Mexico and Colombia rank higher than the United States in self-reported contentment. Perhaps one reason is a cultural emphasis on family and friends, on social capital over financial capital — but then again, Mexicans sometimes slip into the United States, presumably in pursuit of both happiness and assets.
Cross-country comparisons of happiness are controversial and uncertain. But what does seem quite clear is that Costa Rica’s national decision to invest in education rather than arms has paid rich dividends. Maybe the lesson for the United States is that we should devote fewer resources to shoring up foreign armies and more to bolstering schools both at home and abroad.
In the meantime, I encourage you to conduct your own research in Costa Rica, exploring those magnificent beaches or admiring those slothful sloths. It’ll surely make you happy.
...ก็เลยอยากรู้เหมือนกันว่าที่เมืองไทยล้าหลังดักดานอยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะอะไร
Sunday, December 20, 2009
ขนาดหนังสือพิมพ์ยังไม่เข้าใจประเด็นแล้วนับประสาอะไร...
เชื่อบ้านเมืองวุ่นเพราะความเห็นแตก
เดลินิวส์
วันอาทิตย์ ที่ 20 ธันวาคม 2552 เวลา 13:24 น
'นิคม'เปิดสัมมนา เผยสังคมมีความแตกแยกทางด้านความคิด ต้นเหตุทำบ้านเมืองวุ่นวาย
วันนี้(20 ธ.ค.) ที่รัฐสภา สถาบันพระปกเกล้าร่วมกับ รัฐสภา กระทรวงศึกษาธิการ จัดโครงการสัมมนาเรื่อง การเสริมสร้างและเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจทางการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตย์ทรงเป็นประมุข ให้แก่ผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นที่ฐาน รุ่นที่ 4 โดยมีนายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 เป็นประธานพร้อมกล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า รัฐสภา มีความคาดหวังว่า ผู้บริหารสถานศึกษาจะนำหลักการเรื่องประชาธิปไตยไปเผยแพร่ให้กับเด็กนักเรียนได้เข้าใจ ว่า ความแตกต่างทางความคิดเห็นทางสังคม ถือเป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย ทั้งนี้ขณะสังคมมีความแตกแยกทางด้านความคิด และการเมือง ตรงนี้ถือเป็นความสวยงามในระบอบประชาธิปไตย แต่ปรากฏว่าวันนี้ สังคมไทยไม่ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงเป็นต้นเหตุทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย.
--------------------
คนพูดๆ อย่าง แต่นักข่าวพาดหัวอีกอย่าง
ความจริงเขาบอกว่าการไม่ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างต่างหากที่เป็นปัญหา
เฮ้อ
เดลินิวส์
วันอาทิตย์ ที่ 20 ธันวาคม 2552 เวลา 13:24 น
'นิคม'เปิดสัมมนา เผยสังคมมีความแตกแยกทางด้านความคิด ต้นเหตุทำบ้านเมืองวุ่นวาย
วันนี้(20 ธ.ค.) ที่รัฐสภา สถาบันพระปกเกล้าร่วมกับ รัฐสภา กระทรวงศึกษาธิการ จัดโครงการสัมมนาเรื่อง การเสริมสร้างและเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจทางการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตย์ทรงเป็นประมุข ให้แก่ผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นที่ฐาน รุ่นที่ 4 โดยมีนายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 เป็นประธานพร้อมกล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า รัฐสภา มีความคาดหวังว่า ผู้บริหารสถานศึกษาจะนำหลักการเรื่องประชาธิปไตยไปเผยแพร่ให้กับเด็กนักเรียนได้เข้าใจ ว่า ความแตกต่างทางความคิดเห็นทางสังคม ถือเป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย ทั้งนี้ขณะสังคมมีความแตกแยกทางด้านความคิด และการเมือง ตรงนี้ถือเป็นความสวยงามในระบอบประชาธิปไตย แต่ปรากฏว่าวันนี้ สังคมไทยไม่ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงเป็นต้นเหตุทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย.
--------------------
คนพูดๆ อย่าง แต่นักข่าวพาดหัวอีกอย่าง
ความจริงเขาบอกว่าการไม่ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างต่างหากที่เป็นปัญหา
เฮ้อ
Sunday, November 08, 2009
Dwindling into insignificance
For one brief shining moment, it seemed as if Thailand would actually assume the mantle of regional leadership to which it had so openly aspired in its declarations of the country as a hub for this or hub for that. Now that moment of hope has receded into distant memory and the immediate challenge is how to prevent Thailand from a downward spiral into insignificance and irrelevance. Other countries in the region used to admire Thailand for its stability and progressiveness. Now they look upon Thailand with a mix of schadenfreude and fear of what might happen if they followed our example. Looks like we might be in for a lost decade until we sort out our domestic political problems.
Conflicts could hurt Thai role in Asean
By WICHIT CHAITRONG
THE NATION ON SUNDAY
Pattaya
Published on November 8, 2009
Thailand could lose its leadership role in Asean due to sour relations with neighbouring countries and internal political conflicts, experts have warned.
Speaking at the "Thailand Second Lecture" hosted by Nida Business School, former finance minister Somkid Jatusripitak expressed his concern about the country's image in both international politics and economic affairs.
"Our efforts should not be at a daily retaliation," said Somkid referring to the current sour relationship with Cambodia.
He said the country runs a high risk of losing credibility in the eyes of the world because of its self-defeating politics.
He lamented that while street politics had strengthened and caused deep social divisions, formal politics had weakened. "Nobody can guarantee that the next street protests will not lead to more violence," he said. Public confidence in the administration also has declined as people were starting to wonder how long the government would stay in power, he said.
The coalition government, led by the Democrats, has failed to centralise command and direct the path of development. Its efforts are aimed at day-to-day survival. So the government has no strategic plan for long-term development. Nor could it put the right people in the right jobs, he noted.
The government has to reinforce public confidence in the administration or it could plunge further, he warned.
He was concerned that the country could lose its leadership role in Asean and in the international community. He suggested that Thailand should stay close to emerging economic superpowers such as China, India and Australia. The country also needs to deepen its relationship with the United States.
"While global geopolitics have changed with the G-20 emerging as the new mechanism for global cooperation, Thailand has to position itself to fit into the new landscape, he suggested.
Somkid voiced concern about the long-term economic development of the country as the government was more preoccupied with short-term economic recovery. He said that though the government had no clear plan for economic restructuring, it planned to borrow a massive Bt800 billion. He warned that such large borrowings could destabilise the fiscal position due to the sharp rise in public debt.
Meanwhile, former foreign minister Surakiat Sathirathai shared Somkid's view that Thailand did not have a good relationship with its neighbours Burma, Laos and Cambodia. "When public opinion embraces nationalism, it is very difficult for the government to manage foreign policy," warned Surakiat.
He said that Thailand had a long history of being a friendly country and had many times been chosen as a venue for peace negotiations between conflicting outside parties.
He said that now foreigners, Thais and academics are confused about what is happening in the country. He pointed to an obscure legal system, such as laws and regulations related to the environment, which had led to conflict between local people and investors at the Map Ta Phut Eastern Seaboard industrial complex. While investors insist that they follow the rules for reducing pollution emission, local people do suffer from aggregate pollution. "We should ask how to develop our country without any harmful impact on the health of the local people, instead of engaging in a dispute on who does or does not follow the environment rules," said Surakiat.
Conflicts could hurt Thai role in Asean
By WICHIT CHAITRONG
THE NATION ON SUNDAY
Pattaya
Published on November 8, 2009
Thailand could lose its leadership role in Asean due to sour relations with neighbouring countries and internal political conflicts, experts have warned.
Speaking at the "Thailand Second Lecture" hosted by Nida Business School, former finance minister Somkid Jatusripitak expressed his concern about the country's image in both international politics and economic affairs.
"Our efforts should not be at a daily retaliation," said Somkid referring to the current sour relationship with Cambodia.
He said the country runs a high risk of losing credibility in the eyes of the world because of its self-defeating politics.
He lamented that while street politics had strengthened and caused deep social divisions, formal politics had weakened. "Nobody can guarantee that the next street protests will not lead to more violence," he said. Public confidence in the administration also has declined as people were starting to wonder how long the government would stay in power, he said.
The coalition government, led by the Democrats, has failed to centralise command and direct the path of development. Its efforts are aimed at day-to-day survival. So the government has no strategic plan for long-term development. Nor could it put the right people in the right jobs, he noted.
The government has to reinforce public confidence in the administration or it could plunge further, he warned.
He was concerned that the country could lose its leadership role in Asean and in the international community. He suggested that Thailand should stay close to emerging economic superpowers such as China, India and Australia. The country also needs to deepen its relationship with the United States.
"While global geopolitics have changed with the G-20 emerging as the new mechanism for global cooperation, Thailand has to position itself to fit into the new landscape, he suggested.
Somkid voiced concern about the long-term economic development of the country as the government was more preoccupied with short-term economic recovery. He said that though the government had no clear plan for economic restructuring, it planned to borrow a massive Bt800 billion. He warned that such large borrowings could destabilise the fiscal position due to the sharp rise in public debt.
Meanwhile, former foreign minister Surakiat Sathirathai shared Somkid's view that Thailand did not have a good relationship with its neighbours Burma, Laos and Cambodia. "When public opinion embraces nationalism, it is very difficult for the government to manage foreign policy," warned Surakiat.
He said that Thailand had a long history of being a friendly country and had many times been chosen as a venue for peace negotiations between conflicting outside parties.
He said that now foreigners, Thais and academics are confused about what is happening in the country. He pointed to an obscure legal system, such as laws and regulations related to the environment, which had led to conflict between local people and investors at the Map Ta Phut Eastern Seaboard industrial complex. While investors insist that they follow the rules for reducing pollution emission, local people do suffer from aggregate pollution. "We should ask how to develop our country without any harmful impact on the health of the local people, instead of engaging in a dispute on who does or does not follow the environment rules," said Surakiat.
Thursday, August 13, 2009
คนบ้าที่ว่ายน้ำหาอองซานซูจีชื่ออะไร
เขาชื่อ John Yettaw แต่คนไทยออกเสียงเป็น Yittaw ทั้งๆ ที่นามสกุลเขาไม่มีสระ i ในนั้นสักกะหน่อย ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าทำไม
ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมกลัวว่าถ้าคุณเจอคนถามว่า Have you eaten? = คุณรับประทานอาหารหรือยัง (กินข้าวหรือยังวะ) ถ้าคุณยึดหลักเดียวกับที่ใช้ในการออกเสียงนามสกุลของนาย Yettaw แล้ว คุณอาจจะตอบว่า Not yit. ซึ่งจะทำให้ผู้ถามงงเปล่าๆ