Friday, May 26, 2006

ระวังเมืองไทยไปไม่รอด

ตอนนี้การเมืองไทยกำลังตกในภาวะอัมพาตก็ว่าได้ ยังไม่มีใครมองเห็นทางออกว่าจะลงเอยยังไง ฝรั่งที่สนใจจะมาลงทุนเมืองไทยพอเห็นสถานการณ์การเมืองก็บอกว่ารอไว้ก่อน ภาพยังไม่ชัดเจน ไปลงทุนประเทศอื่นในละแวกเดียวกันที่มีเสถียรภาพมากกว่านี้ดีกว่า

ก็คงชัดแล้วนะครับว่าสำหรับเมืองไทย การเมืองไม่ใช่คำตอบแต่เป็นปัญหาเสียเอง ระหว่างที่โลกกำลังรุดหน้าไปทุกวัน เรากำลังย่ำอยู่กับที่

โลกาภิวัตน์เรอะ เราไม่สนหรอก สนแต่โลภาภิวัตน์ กำไรดีกว่ากันเยอะ

นี่หละครับ บ้านเมืองเรา โดนโรค Thaksinitis เล่นงานยังไม่พอ ยังมาโดน Sondhicemia เล่นงาน และอาการ democrazy ซ้ำเติมอีก

ถ้าจะบ่นมากกว่านี้ จะโยนความผิดให้ฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ก็คงทำได้ไม่ยาก แต่ก็คงเป็น a waste of breath = การเสียลมปากไปเปล่าๆ ไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีใครดีกว่าใครสักเท่าไหร่ ต่างก็เล่นเกมการเมืองไปวันๆ

อย่ากระนั้นเลย เรามาดูกันดีกว่าว่าในเวลาเช่นขณะนี้ เราประชาชนคนไทยจะทำอะไรได้ ต้องนั่งลืมตาปริบๆ รอให้เสือสิงห์กระทิงแรดทั้งหลายเขาจัดสรรผลประโยชน์กันให้เสร็จสิ้นกระนั้นหรือ บ้านเมืองจึงจะเดินต่อไปได้

ความจริงเราไม่ต้องรอให้การเมืองนิ่งก็ได้ครับ เรายังทำอะไรให้กับประเทศชาติเราได้เยอะแยะ ขืนรอให้แต่ฝ่ายการเมืองกู้ประเทศอย่างเดียว ดีไม่ดีอาจจะไม่มีประเทศเหลือให้กู้

ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วครับที่คนไทยจะต้องมาช่วยกันคนละไม้คนละมือ เราไม่ต้องเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยก็ได้ ไม่ต้องเป็นสมาชิกประชาธิปัตย์ก็ได้ แต่เราสามารถแสดงความรักไทย แสดงความรักประชาธิปไตยโดยการกระทำ

แล้วการกระทำที่ว่าคืออะไร

คือการช่วยคนไทยด้วยกันเองครับ

ผมไม่ได้หมายถึงเพียงการช่วยเหลือในยามภัยพิบัติ แต่หมายถึงการช่วยเหลือที่ยั่งยืนกว่านั้น โดยเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท

นั่นคือช่วยเหลือให้คนไทยที่ด้อยโอกาสกว่าเราได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่เรารู้และเขาไม่รู้ เพื่อที่เขาจะได้มีทางเลือกมากขึ้น มีโอกาสมากขึ้น

พูดง่ายๆ คือวิทยาทานครับ

ถ้าเราพูดเรื่อง empowerment = การทำให้มีพลัง วิทยาทานนี่แหละคือการทำให้มีพลังโดยตรง

ปัญหาสำคัญที่สุดที่กำลังเผชิญหน้าประเทศไทยตอนนี้ไม่ใช่เรื่องความมั่นคง อธิปไตย ความบูรณาการของดินแดน ฯลฯ แล้วครับ ไม่เหมือนสมัยก่อนในยุคที่ภัยคอมมิวนิสต์แพร่กระจายไปทั่วโลก สมัยโน้นเรื่องการต่างประเทศเป็นตัวตัดสินความอยู่รอดของประเทศจริงๆ

แต่ในยุคโลกาภิวัตน์นี้ ไม่ว่าการต่างประเทศจะเป็นอย่างไร อธิปไตยเราก็คงไม่สูญเสียให้ใคร เพราะหมดยุคแบบนั้นแล้ว การต่างประเทศกลายเป็นงานที่เพิ่มมูลค่า แต่ไม่ใช่ตัวตัดสินชี้ขาดดวงชะตาหรือความอยู่รอดของประเทศ

สิ่งที่จะตัดสินว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างไรต่อไปก็คือคุณภาพของประชาชนเรา ที่ผ่านมาเราทำหน้าที่เป็นมือราคาถูกมาตลอด ต่างชาติจ้างให้ผลิตโน่นผลิตนี่โดยใช้มือคนไทย แต่เราไม่เคยทำหน้าที่เป็นสมองที่เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า

ต่อไปนี้เราจะต้องเป็นสมองแล้วครับ เพราะประเทศที่ยากจนกว่าเราสามารถเป็นมือที่ราคาถูกยิ่งกว่าเราเสียอีก

แต่การสร้างคนทั้งประเทศให้มีความคิด ให้ใช้สมองตัวเองเต็มที่ไม่ใช่เรื่องง่าย และแน่นอนไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ก็ดูสิครับ รัฐบาลกี่สมัยๆ ก็ไม่เห็นให้ความสนใจกับการศึกษาอย่างจริงจังสักที อาจเป็นเพราะคนฉลาดปกครองยากกว่าหรือเปล่าผมก็มิอาจทราบได้

เราเลิกตั้งความหวังไว้กับรัฐบาลได้แล้วครับสำหรับเรื่องที่สำคัญยิ่งยวดสำหรับอนาคตของประเทศขนาดนี้

เรามาเผยแพร่ความรู้ที่เรามีกันเถอะครับ ยุคอินเตอร์เน็ตนี้ทำให้คุณสามารถเผยแพร่สิ่งที่คุณรู้ได้ง่ายกว่าทุกยุค คุณอาจจะไปช่วยสร้าง Wikipedia ภาษาไทย หรืออาจเปิดเว็บไซท์เผยแพร่ความรู้ที่คุณมีความชำนาญ แทนที่จะเพียงใช้เว็บเป็นที่แสดงความเห็นอย่างเดียว เรามาใช้มันเป็นสื่อสำหรับ share ความรู้กับคนไทยด้วยกันดีกว่าครับ

แล้วทั้งหมดนี้จะช่วยคนไทยในชนบทได้อย่างไร คนไทยที่ด้อยโอกาส ไม่มีคอมพิวเตอร์ที่จะเปิดดูเว็บได้

ก็อนุญาตให้ทุกคนสามารถนำความรู้ของคุณไปแปรรูปสิครับ เอาไปทำเป็น CD ทำเป็นหนังสือ ชีตแจก ฯลฯ โดยมีข้อแม้อย่างเดียวคือให้ระบุว่าเจ้าของลิขสิทธิ์คือใคร ความดี (หรือไม่ดี) ก็จะได้ยกให้กับผู้นั้นได้

เป็นการดัดแปลงความคิดแนว open source มาสำหรับการช่วยคนไทยที่ไร้โอกาส

อาจมีวิธีอื่นๆ ที่ดีๆ อีกเยอะที่จะช่วยคนไทยให้พัฒนาตัวเองได้ง่ายขึ้น แต่ที่สำคัญคืออย่าไปหวังพึ่งภาครัฐเลยครับ เราสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กๆ เป็นสิบปีแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เด็กพูดภาษาอังกฤษได้ นั่นก็น่าจะเป็นอุทาหรณ์ได้เพียงพอแล้ว

ภาครัฐจะปฏิรูปการศึกษา จะปรับปรุงระบบโอเน็ต เอเน็ต อะไรก็ปล่อยเขาทำไปเหอะ คนไทยที่พอมีความรู้ที่จะแบ่งให้เพื่อนร่วมชาติได้ก็แบ่งปันกันเถอะครับ

เพราะความรู้เป็นสิ่งที่ยิ่งเราให้มากแค่ไหน ปริมาณของมันก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นมากแค่นั้น

No comments: